ข้อความจาก กลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)(ปิดกระทู้)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย สุดใจเขากะลา, 9 สิงหาคม 2007.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    นช่วงที่ระบบให้ชื่อ มูลนิธิ จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน นี้ไว้ ไม่ได้มีกิจกรรมใดใด ไม่มีรูปแบบใดใด ให้จับต้องได้ ให้เห็นอย่างเป็นทางการ

    นั่นเป็นเพราะ ทางกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) มิได้สนใจในรูปแบบ ไม่ได้สนใจในการดำเนินงานเพื่อหาเงินจัดตั้งมูลนิธิ ไม่ได้สนใจในเรื่องที่ไกลออกไปจากขันธ์ห้า ธาตุสี่นี้

    มีแต่ความมุ่งมั่นในปฏิบัติธรรม ฝึกการปล่อยวาง ฝึกสติปัฐฐาน4 อย่างเข้มข้น เพื่อละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ปล่อยวางอัตตาตัวตนเป็นหลัก มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นที่เป็นกิจกรรมที่ทำอยู่อย่างต่อเนื่องทุกวินาที

    เพื่อนำจิตที่ปล่อยวางแล้วนี้ ไปติดตั้งอุปกรณ์จากมนุษย์ต่างดาว เพื่อนำไปช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ในเวลาที่เกิดภัยพิบัติใหญ่นั่นเอง

    เพราะหากไม่ฝึกจิตปล่อยวางก่อนแล้ว ติดตั้งอุปกรณ์ไปก็จะเกิดโทษภัยกับตนเอง นั่นคือ หลงไปยึดติดกับอุปกรณ์ กลายเป็นเราผู้วิเศษ เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้า เราผู้วิเศษได้ยินเรื่องราวล่วงหน้า เราผู้วิเศษเห็นกรรม เห็นวิบากกรรม รักษาพยาบาล ทำนายทายทัก หรือเศกเป่าสิ่งใด ๆ ได้ดังใจ

    นั่้นคือโทษ จะมีแต่คำว่าเราเก่ง เราทำ เราช่วย เราเห็น เรารักษา

    จะมีแต่พัลวันไปด้วยเรา ตัวเรา ของเรา ยิ่งมีตัวตนมากขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่า สามเท่าเลยทีเดียว

    นี่คือโทษ โทษของการหลงยึด โทษของการยังต้องหลงวนเวียนอยู่ในวัฏฏะสงสาร ด้วยการเพิ่มอัตตาตัวตนมากขึ้นนั่นเอง


    ดังนั้น คนที่จะทำงานกับระบบ อย่างแรก และอย่างเดียวที่จะต้องทำ ก็คือ พิจารณาธรรมเพื่อการละวางอัตตาตัวตน ละการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้าของพระพุทธองค์เป็นหลัก แล้วนำทฤษฎีของระบบ ที่สอนในรูปแบบของกฏธรรมชาติมาพิจารณาประกอบกันไปด้วย จนสามารถละวางอัตตาตัวตน ละอุปปาทานขันธ์ห้า จนเห็นความว่าง ว่างจากการยึดมั่นถือมั่นในขันธ์ห้า ว่างจากการมีอัตตาตัวตนของตน จนเบาบางจางคลายจากความทุกข์ได้ในระดับที่พร้อมช่วยเหลือคนอื่นแล้วนั่นแหละ

    ระบบจึงจะติดตั้งอุปกรณ์ให้เพื่อนำไปช่วยเหลือบุคคลอื่นต่อไป

    โดยได้ทั้งประโยชน์ตน คือผู้ทำงานก็ปล่อยวางอัตตาตัวตน ละการยึดมั่นถือมั่นว่าตนเป็นผู้ทำ ผู้กำลังช่วยเหลือ ผู้กำลังรักษา โดยออกจากขันธ์ห้า ขณะที่กำลังช่วยเหลือบุคคลอื่น ๆ นั่นเอง

    และไ้ด้ทั้งประโยชน์ท่าน คือมนุษย์ต่างดาว ได้วางระบบการติดตั้งอุปกรณ์ไฮเทคไว้ให้มนุษย์โลกได้ใช้ เพื่อการประสานงานกับบุคคลอื่นอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นแบบมีเซ้นท์ มีการเห็น การรู้ การทำนายทายทัก หรือการรักษา ปัดเป่าอาการเจ็บป่วย ช่วยเหลือได้ทุกรูปแบบ ล้วนแล้วแต่เป็นอุปกรณ์จากต่างดาว ที่ติดตั้งไว้เพื่อใช้ทำงานในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อย่างรวดเร็วทันเวลาทั้งสิ้น

    แต่ไม่ได้มีใครเป็นผู้่ทำการนั้น ๆ เลย นอกจากกฏธรรมชาติ ที่ต้องให้ความช่วยเหลือกันและกัน โดยผ่านมาทางอุปกรณ์ไฮเทคเหล่านั้น จึงไม่ต้องมาขอบคุณ มาสรรเสริญ มายกยอปอปั้น หรือมาบูชา
    ผู้ใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เพราะไม่ได้มีใครเป็นผู้กระทำเพื่อใครทั้งสิ้น

    สถานปฏิบัติธรรม จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน แห่งนี้ จึงมีจุดมุ่งหมายหลัก เพื่อการปฏิบัติธรรม เน้นการละวางอัตตาตัวตน ละการยึดมั่นถือมั่นในอุปปาทานขันธ์ห้าเป็นหลัก

    แม้รูปแบบการฝึกเพื่อการปล่อยวาง ออกจะดูแปลกแตกต่างไปบ้าง แต่จุดมุ่งหมายถูกต้องตรงตามแก่นพุทธศาสตร์ทุกประการ.

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 พฤษภาคม 2009
  2. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    <TABLE id=post2125901 class=tborder border=0 cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid" class=thead>[​IMG] เมื่อวานนี้, 06:20 PM </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=thead align=right>#1 </TD></TR><TR vAlign=top><TD style="BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" class=alt2 width=175><!-- google_ad_section_start(weight=ignore) -->Premsuda (May)<!-- google_ad_section_end --><SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_2125901", true); </SCRIPT>
    สมาชิก

    [​IMG]

    วันที่สมัคร: May 2009
    สถานที่: เปรมสุดา (เมย์) กรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทร์ มหินทราอยุธยามหาดิลก ภพนพรัตน์ราชธาณี
    อายุ: 22
    ข้อความ: 47
    Groans: 1
    Groaned at 0 Times in 0 Posts
    ได้ให้อนุโมทนา: 1,088
    ได้รับอนุโมทนา 405 ครั้ง ใน 49 โพส
    พลังการให้คะแนน: 0 [​IMG]
    [​IMG]


    </TD><TD style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid" id=td_post_2125901 class=alt1>[​IMG] <CENTER><!-- google_ad_section_start -->ข่าวใหม่ล่าสุด 23 พ.ค 2552 ช่อง 11 (4 ทุ่ม) มีการคุยเรื่อง ภัยพิบัติล้างโลก 2012 (ใครที่ยังไม่ได้ดู เมย์จะสรุปให้อ่านค่ะ)<!-- google_ad_section_end -->

    </CENTER>
    <HR style="BACKGROUND-COLOR: #ffffff; COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- google_ad_section_start --><SCRIPT type=text/javascript><!--//<![CDATA[ var m3_u = (location.protocol=='https:'?'https://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php':'http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php'); var m3_r = Math.floor(Math.random()*99999999999); if (!document.MAX_used) document.MAX_used = ','; document.write ("<scr"+"ipt type='text/javascript' src='"+m3_u); document.write ("?zoneid=86"); document.write ('&cb=' + m3_r); if (document.MAX_used != ',') document.write ("&exclude=" + document.MAX_used); document.write ("&loc=" + escape(window.location)); if (document.referrer) document.write ("&referer=" + escape(document.referrer)); if (document.context) document.write ("&context=" + escape(document.context)); if (document.mmm_fo) document.write ("&mmm_fo=1"); document.write ("'><\/scr"+"ipt>");//]]>--></SCRIPT><SCRIPT type=text/javascript src="http://www.palungjit.org/ads/www/delivery/ajs.php?zoneid=86&cb=26120530078&loc=http%3A//palungjit.org/threads/%u0E02%u0E48%u0E32%u0E27%u0E43%u0E2B%u0E21%u0E48%u0E25%u0E48%u0E32%u0E2A%u0E38%u0E14-23-%u0E1E-%u0E04-2552-%u0E0A%u0E48%u0E2D%u0E07-11-4-%u0E17%u0E38%u0E48%u0E21-%u0E21%u0E35%u0E01%u0E32%u0E23%u0E04%u0E38%u0E22%u0E40%u0E23%u0E37%u0E48%u0E2D%u0E07-%u0E20%u0E31%u0E22%u0E1E%u0E34%u0E1A%u0E31%u0E15%u0E34%u0E25%u0E49%u0E32%u0E07%u0E42%u0E25%u0E01-2012-%u0E43%u0E04%u0E23%u0E17%u0E35%u0E48%u0E22%u0E31%u0E07%u0E44%u0E21%u0E48%u0E44%u0E14%u0E49%u0E14%u0E39-%u0E40%u0E21%u0E22%u0E4C%u0E08%u0E30%u0E2A%u0E23%u0E38%u0E1B%u0E43%u0E2B%u0E49%u0E2D%u0E48%u0E32%u0E19%u0E04%u0E48%u0E30.188944/%23post2125901&referer=http%3A//palungjit.org/"></SCRIPT> [​IMG]
    <NOSCRIPT></NOSCRIPT>
    [​IMG] [​IMG] [​IMG]

    ข่าวใหม่ล่าสุด 23 พ.ค 2552 ช่อง 11 (4 ทุ่ม) มีการคุยเรื่อง ภัยพิบัติล้างโลก 2012





    ใครที่ยังไม่ได้ดู เมย์จะสรุปให้อ่านค่ะ (คนส่วนมากในโลก ยังไม่รู้เรื่องนี้)

    เป็นรายการชื่อ "TAXI" โดยมี "พี่โน้ต เชิญยิ้ม" เป็นพิธีกร (คนขับรถ TAXI) แล้วจะคุยกับผู้โดยสาร
    ในเรื่องราวต่างๆที่บางเรื่องเราก็คิดไม่ถึง

    วันหนึ่ง "พี่โน้ต เชิญยิ้ม" ได้มีโอกาสไปรับผู้โดยสารชื่อ "คุณสุวิช" เป็นนักวิทยาศาสตร์ องค์การ NASA
    "คุณสุวิช" เคยทำงานเป็นทหารอากาศในประเทศไทย ต่อมาจึงได้มีโอกาสไปทำงานที่ องค์การ NASA

    "คุณสุวิช" ทำงานในองค์การ NASA ในสายงานคือ ร่วมกับนักวิทยาศาสตร์ทั่วโลก เพื่อสร้างยานอวกาศ
    เพื่ออพยพผู้คนจาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 (แต่รู้ในวงจำกัด)

    "คุณสุวิช" ยืนยันว่าอีก 3 ปี ข้างหน้านี้ โลกกำลังจะเกิดหายนะขึ้นจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 แน่นอน
    และคนใน องค์การ NASA ทุกคนทราบเรื่องนี้มานานแล้ว แล้วได้สร้างยานอวกาศเพื่ออพยพผู้คนจาก
    อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 ใกล้เสร็จแล้ว (แต่"คุณสุวิช" ไม่ได้บอกว่าสร้างไว้กี่ลำ)

    "คุณสุวิช" ยังยืนยันด้วยว่า มนุษย์ต่างดาวนั้นมีจริง ปัจจุบันมีมนุษย์ต่างดาวมาทำงานร่วมกับ องค์การ NASA เพื่อช่วย
    มนุษย์จาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 (มนุษย์บางคนเท่านั้นที่ถูกเลือกให้รอด)

    "คุณสุวิช" ยังยืนยันด้วยว่าโลกมนุษย์เรา ไม่ได้อยู่อย่างโดดเดี่ยว ในจักวาลอื่นๆก็มีมนุษย์ต่างดาวประมาณ 200 จักรวาล
    ซึ่งโลกของเราเป็นเพียงจักรวาลเล็กๆ 1 จักรวาล เท่านั้น เราไม่ได้อยู่โดดเดี่ยวหรอกนะ

    "คุณสุวิช" บอกว่า มนุษย์โลกสามารถติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวมานานแล้วโดยทาง "โทรจิต" แต่ทาง "สหรัฐอเมริกา" นั้นค่อนข้างปกปิด
    เรื่องนี้ ทำให้คนส่วนมากในโลกไม่รู้

    "คุณสุวิช" เป็นนักวิทยาศาสตร์ องค์การ NASA มาหลายปีแล้ว ท่านเคยไปบอกให้ กระทรวงวิทยาศาสตร์ของไทย ควรเร่งสร้างยานอวกาศ
    เพื่ออพยพคนไทยจาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 โดยเร็ว แต่ไม่มีใครเชื่อ แถมมองว่าท่านเป็นบ้าอีกด้วย (คนไทยนี่มันโง่จริงๆ)
    พวกฝรั่งเขารู้กันมานาน เขาสร้างยานอวกาศ เพื่ออพยพผู้คนจาก อุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 เกือบเสร็จแล้ว แต่คนไทยยังไม่เชื่อ
    จะจมน้ำตายกันอยู่แล้ว ไม่รู้วันๆคนไทยทำอะไรกันอยู่ น่าสงสารคนไทยจริงๆ ตายแน่ๆ

    "คุณสุวิช" ยืนยันว่าอีก 3 ปี ข้างหน้านี้ โลกกำลังจะเกิดหายนะขึ้นจากอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012 แน่นอน นี่เป็นเรื่องจริง ที่ฝรั่ง
    เค้าตื่นตัวกันมาก แต่คนไทยเกือบทั้งหมด ยังไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ น่าสงสารคนไทยจริงๆ

    "คุณสุวิช" กล่าวว่า คนไทยน่าจะเลิกทะเลาะกันได้แล้ว อีก 3 ปี ได้จมน้ำตายแน่ๆ เพราะอุทกภัยน้ำท่วมโลกใน ค.ศ. 2012
    นั้นเป็นวันหายนะที่ร้ายแรงมาก ร้ายแรงขนาดล้างโลกเลยทีเดียว ไม่งั้นมนุษย์ต่างดาวเค้าคงไม่มาทำงานร่วมกับองค์การ NASA
    เพื่อช่วยในการสร้างยานอพยพผู้คนในครั้งนี้เป็นแน่

    ภาพกราฟฟิคชุดใหม่จากองค์การ NASA เมย์เพิ่งได้มาใหม่ๆ แสดงการเกิด ภัยพิบัติครั้งใหญ่ ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร น่าตื่นตาตื่นใจ สวยงามมากๆค่ะ
    [คลิกเลยค่ะ ความตายใกล้เข้ามาแล้ว วันที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2555 วันวิปโยก วินาศสันตะโร วันสุดท้ายของมนุษย์ (ที่ไม่มีศีลธรรม)]





    ยังมีนักวิทยาศาสตร์อีกลายคนที่พยายามจะมาเตือนคนไทยเรื่องภัยพิบัติน้ำท่วมล้างโลก แต่ไม่มีใครเชื่อ เช่น

    1. นาย สมิทธ ธรรมสโรช ประธานกรรมการอำนวยการเตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ทำนาย กรุงเทพฯ จมใต้น้ำ (พ.ศ. 2558)
    ท่านทำนายไว้เมื่อเดือน พฤศจิกายน 2550
    อ่านรายละเอียดที่นี่ค่ะ : ���֧! �ա 8 �� ��ا෾� ����� �ҡ���͡ ����๪��� oknation.net

    2. ดร.อาจอง ชุมสาย ณ อยุธยา ทำนายอนาคตโลกต้องเกิดภัยพิบัติครั้งมโหฬารในปี พ.ศ. 2560 ท่านทำนายไว้เมื่อปี พ.ศ. 2548
    อ่านรายละเอียดที่นี่ค่ะ : บทสัมภาษณ์ ดร.อาจอง ชุมสายฯ เรื่องอนาคตเมืองไทยอีก 10 ปีข้างหน้า - PaLungJit.com





    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]









    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  3. พุทธันดร

    พุทธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    565
    ค่าพลัง:
    +3,969
    คราวหนึ่งเมื่อพระโพธิธรรมหาเถระ (บูรพาจารย์ตั๊กม้อ)ได้เดินทางจาริกจากอินเดียไปประเทศจีนเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา ฮ่องเต้ในสมัยนั้นผู้ซึ่งมีศรัธาปสาทะในพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก สร้างวัดวาอาราม สถูปแลเจดีย์ทั่วพระราชอาณาจักร นับพันนับร้องแห่ง ส่งเสริมการบวชภิกษุสามเณร และการกินอยู่ขบฉันตลอดทั้งปีมิได้ขาด
    ฮ่องเต้ทราบข่าวการจาริกมาแห่งพระมหาเถระจากอินเดียผู้ยิ่งใหญ่ ก็ได้เข้ากราบนมัสการท่านโพธิธรรม(ตั๊กม้อ) กราบนมัสการเล่าถึงการก่อกุศลสมาทานอันยิ่งใหญ่ของท่าน ทะนุบำรุงสร้างวัดวาอาราม เป็นจำนวนมาก แล้วถามท่านว่า
    "ที่โยมได้ทำนุบำรุงให้แก่พุทธศาสนามากมายขนาดนี้ โยมจะได้บุญกุศลมากน้อยเท่าใด ขนาดไหน ท่านจะประมาณให้ฟังได้หรือไม่"
    ท่านพระมหาเถระตอบว่า "เจริญพรมหาบิตร ที่ท่านสร้างและกระทำมานั้น ไม่มีกุศลผลบุญใดใดเลยแม้แต่น้อย"
    คำตอบเท่านี้แหละที่ทำให้ฮ่องเต้ทรงไม่พอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง และก้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ท่านโพธิธรรมไม่ออกแสดงธรรม และกักตนเองอยู่ในถ้ำนานถึง 9 ปี
    ทุกท่านที่อ่านแล้วอาจจะไม่เข้าใจ วันหลังจะมาเฉลยครับ

    อยากฟังเรื่องนี้ต่อมากค่ะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับท่านโพธิธรรมมหาเถระ
    อาจารย์นีโม่ช่วยเล่าเป็นธรรมทานด้วยได้ไหมคะ สาธุ
     
  4. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    มาขอร่วมฟังด้วยกับคุณแด๋น ครับ:p
     
  5. pkanlaya

    pkanlaya เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    186
    ค่าพลัง:
    +597
    เมื่อคืนวันศุกร์ที่ 22 ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวส่องแสงไปทั่ว แต่สังเกตเห็นอยู่ 1 ดวงที่มีแสงกระพริบเป็นสีต่างๆ และลอยอยู่ในระดับต่ำ เข้าใจว่าน่าจะเป็นยานต่างดาว เพราะเห็นอยู่ประมาณ 10-15 นาทีก็หายไป พอมาเย็นวันที่ 23 เวลาประมาณหกโมงเย็นกำลังยืนอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้านเกิดคิดไปว่า ยานที่ผ่านมาให้เห็นมักจะมาให้เห็นตอนกลางคืน แล้วกลางวันล่ะจะมองเห็นกันได้มั๊ย พอคิดปุ๊บก็แหงนมองท้องฟ้าทันที เห็นวัตถุสีเงินรูปทรงกระบอกเคลื่อนที่อย่างช้าๆจากทิศใต้ไปเหนือ ไม่ได้ยินเสียง และลอยอยู่ในระดับสูงพอสมควร มองตามไปจนลับสายตา จะว่าเป็นเครื่องบินก็คงไม่ใช่แน่นอน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปไว้มัวแต่จ้องมองเฉยๆ ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหมือนกันค่ะ
     
  6. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ประกาศ

    ท่านใดที่มีญาณรักษาโรค
    ช่วยกรุณาส่งพลังมารักษาให้ผมด้วยนะครับ
    ตอนนี้กำลังป่วยหนัก (อีกแล้ว)
    ป่วยมา 4 - 5 วันแล้วหละครับ
    กินยาก็ยังไม่ดีขึ้นเลย สงสัยต้องไปโรงพยาบาลแล้ว
     
  7. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ขอพลังรักษาจากพระสูงสุด ส่งรักษาให้คุณชยุต แล้วครับ
    ในกรณีของคุณชยุต เป็นเงื่อนไขที่เกิดจากกรรม ขันธ์ห้าจะเจ็บป่วยอยู่เรื่อยๆ

    ดูก็แล้ว เห็นก็แล้ว แต่มันก็ยังทุกข์
    เป็นทุกข์ของขันธ์ห้าล้วนๆ
    เมื่อเราเข้าไปโอบอุ้ม ไปอิงแอบกับมัน
    เราก็จะไม่มีทางออกจากทุกข์ได้เลย

    เมื่อขันธ์ห้าทุรนทุรายจากทุกข์ที่เกิด
    มันก็จะเริ่มทำกลไกของมันแบบเดิมๆ คือ
    มีเงื่อนไขต่างตอบแทน
    ในทำนองที่ว่า เมื่อฉันหาย ฉันจะถือศีลห้าโดยเคร่งครัด หรือ ฉันจะบำบุญอย่างโน้นอย่างนี้
    ฉันจะเลิกอบายมุขที่ทำร้ายทำลายสังขารของฉัน

    นี่แหละครับ เป็นกลไกของขันธ์ห้าอีกแบบหนึ่ง
    มันเคยทำแบบนี้มาแล้วนับไม่ถ้วน
    ซึ่งเราก็เผลอคอยสนับสนุน เอาใจช่วย เกาะเกี่ยวไปกับมัน
    เสมือนเพื่อนรัก แต่ไม่ยอมหักเหลี่ยมโหด
    มันจะถูกทุกข์รุมเร้า มันจะเศร้าสุดเหงา หรือแค้นสุดขีด
    เราก็ยังเป็นเพื่อนร่วมทุกข์กับมัน
    ตามคติที่ว่า เพื่อนแท้ย่อมเห็นกันยามทุกข์
    ซึ่งมันไม่ใช่ มันคนละเรื่อง ความจริงที่จะออกจากทุกข์ มันไม่ใช่วิธีเช่นนั้น

    เราดูแลขันธ์ห้ามาโดยตลอด
    หารู้ไม่ว่า ขันธ์ห้าเป็นเพียง ตุ๊กตาที่ไร้ชีวิตตัวหนึ่ง ให้ความสุขกับเด็กๆ เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น






    ขอเป็นกำลังใจให้คุณชยุต ฝ่าฟันอุปสรรค
    ผลักดันทุกข์ที่เกิดจากโรคทางกาย
    ให้ออกไปจากจิตปัจจุบัน ได้โดยรวดเร็ว

    ชีวิตที่เกิดมา มันไม่มีอะไรเลยจริงๆ
    เป็นเพียงธาตุสี่ ขันธ์ห้า เท่านั้น

    อ๋อ..มันก็เป็นของมันอย่างนั้นเอง..

    บางครั้งการพูด กับการกระทำ มันก็ยากที่ไปในทางเดียวกัน
    โดยเฉพาะ การที่เรายังไม่เข้าใจในแก่นแท้ของความเป็นจริงของชีวิต.
     
  8. กรึงไกร

    กรึงไกร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    179
    ค่าพลัง:
    +295
    สวัสดีครับ

    ผมกรึงไกรครับ วันนี้เช้าวันจันทร์วันแรกของการทำงาน ปกติขันธ์ของผมจะขี้เกียจมาทำงานใน

    วันจันทร์ ชอบลาป่วย ลากิจ เป็นอาจิณ ตั้งแต่มารับรู้ธรรมะเสริมจากกลุ่มเขากะลาในเรื่องของ

    ขันธ์ห้า ผ่านกระทู้เขากะลาได้ระยะหนึ่ง อ่านกระทู้นี้เป็นกิจวัตร ( ทำให้รู้ว่าความขี้เกียจไม่มีใน

    เรา เพราะในโลกนี้ไม่มีเรามีเพียงแต่ขันธ์ห้าเท่านั้น ) ผมรู้สึกว่าธรรมะเริ่มซึมสู่ร่างกายไปบ้าง

    แล้ว แต่ก็ยังต้องผ่านการทดสอบอีกหลายขั้น ซึ่งที่ผ่านมาส่วนใหญ่ก็สอบตกมาตลอด คือสติ

    ของผมยังอ่อนแอ ยังไม่ไวพอต่อกิเลสตัณหา เลยทำให้ชีวิตเพี่ยงพร้ำทำแต่สิ่งที่ไม่ดีผมก็ต้อง

    ยอมรับไปตามสภาพ แต่ก็ไม่ได้หมายถึงตัวผมเองจะท้อถอย ทุกวันนี้ถ้าผมสอบตกผมก็จะบอก

    กับตัวเองว่า ไม่เป็นไรเอาใหม่ที่ผ่านมามันแก้ไขอะไรไม่ได้มันคือประสบการที่มีค่าและราคาแพง

    เป็นเพียงบันไดที่เราต้องก้าวผ่าน หลายสิบปีที่ผ่านมาผมมีคำถามกับตัวเองมาตลอดว่าคนเรา

    เกิดมาทำไม แล้วทำไมผมถึงฝันถึงเรื่องมนุษย์ต่างดาวมาตั้งแต่เด็ก ทุกครั้งที่ได้ฝันมันเป็นภาพ

    ที่ชัดเจนมากเสมือนกับได้ไปสัมผัสมาด้วยตัวเองปกติการฝันในแต่ละครั้งตื่นเช้ามาเราก็จะลืม

    แต่เรื่องนี้แปลกไม่เคยลืมเลือนแม้เวลาจะผ่านไปนับสิบปี จนวันหนึ่งครั้งแรกในชีวิตที่ตัดสินใจไป

    สัมมนาเกี่ยวกับเรื่องมนุษย์ต่างดาวของอ.นีโม่ซึ่งทราบข่าวจากเว็ปพลังจิต ทำให้ได้รู้จักกับกลุ่ม

    เขากะลาและกระทู้ของกลุ่ม ทุกคำถามในใจเริ่มมีคำตอบ ทำให้ผมรู้ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นไม่ใช่

    เพียงเรื่องบังเอิญทุกอย่างล้วนถูกกำหนดมาแล้วทั้งนั้น ผมจะบอกกับทุกท่านว่าปกติผมพิมกะทู้

    ไม่ค่อยเก่ง สมัยเรียนก็เรียงความห่วยมาก ไม่มีอารมณ์ศิลปิน แต่เช้านี้ผมก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดล

    ใจ ( หรือระบบ ) ทำให้ผมอยากที่จะเล่าให้ทุกท่านในกระทู้ได้รับทราบ แล้วที่สำคัญผมก็อยาก

    จะให้กำลังใจกับอาจารย์ทุกท่านในกระทู้เขากะลานี้ อาทิ เช่น อ.สุดใจ,อ.นีโม่,อ.เม้าท์,อ.ไอย ฯลฯ

    อยากจะให้ทุกท่านบรรยายธรรมะต่อไปเพราะสิ่งที่ทุกท่านได้กระทำล้วนมีประโยชน์อันมหาศาล

    น้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกล่อนฉันใด ธรรมะของทุกท่านก็จะค่อย ค่อยซึมซับเข้าไปในจิตใจ

    ได้ฉันนั้น



    ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรมครับ


    ขอบคุณที่อ่านครับ


    deeja__a
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  9. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    Wave เริ่มลงคุณกรึงไกร แล้วหละครับ
    งานเข้าอีกคนแล้วครับทั่น

    ขออนุโมทนาครับ
    fishh_
     
  10. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    เปิดเข้ามาในกระทู้นี้ ก็เพื่อแจ้งข้อมูลความคืบหน้าของการเตรียมการจัดทำเว็บไซด์ UFO at KAOKALA ร่วมกับ คุณพีท และทีมงาน blog 17 ให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้รับทราบเพิ่มเติม

    ก็มาพบข้อความของคุณกรึงไกรลงโพสพอดี ก็จะขออนุญาต อนุโมทนากับข้อความของคุณกรึงไกรก่อนเลยนะคะ



     
  11. MOUNTAIN

    MOUNTAIN เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    15,035
    ค่าพลัง:
    +132,081
    ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ MOUNTAIN [​IMG]
    วันนี้(20/5/52) ได้จัดส่งพระหางหมาก ของหลวงพ่อฤๅษีฯ
    ไปให้คุณ pikarzo แล้วเมื่อเวลา 14.00 น.
    รายละเอียดดังนี้.-

    ซองกันกระแทก = 12.- บาท
    EMS = 32.- บาท

    รวม 44.- บาท


    หักจากเงินโอน 1,200.-บาท

    คงเหลือ 1,156.-บาท .

    ..เงินจำนวน 1,156.-บาทนี้จะโอนส่งมอบ
    ให้กับอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน
    เป็นปัจจัยบุญร่วมสร้างสถานปฏิบัติธรรมฯต่อไปครับ

    ขออนุโมทนาบุญกับคุณ pikarzo อีกครั้งครับ


    ....................................................................

    วันนี้(24/5/52)ได้โอนเงินจำนวน 1,156.-บาท ของคุณpikarzo
    เข้าบัญชีอาจารย์สุดใจ ชื่นสำนวน เป็นที่เรียบร้อยแล้วครับ

    ขออนุโมทนาครับ
     
  12. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    ขออนุโมทนา กับคุณกรึงไกรด้วยเป็นอย่างยิ่ง

    กับข้อความของคุณกรึงไกร ที่ได้กล่าวมานี้ ทำให้รับทราบว่า

    ยังมีอีกหลายท่านที่ได้ติดตามอ่านข้อมูลอยู่อย่างเงียบ ๆ โดยใช้การพิจารณาไตร่ตรอง ทดสอบ ทดลอง และยอมที่จะลองปฏิบัติตามสิ่งที่ระบบได้ถ่ายทอดลงมา นั่นคือให้โอกาสตนเองได้ทดลองปฏิบัติในสิ่งที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามิได้ขัดกับหลักการ ที่พระพุทธองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้แต่ประการใด

    และหลายท่าน ยิ่งได้ศึกษา ยิ่งได้พิจารณา กลับยิ่งได้พบว่า ธรรมะเหล่านี้ กลับเป็นสาระ กลับเป็นแก่นสาร กลับเป็นปัญญาญาณ ที่จะนำพาเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายออกจากกองทุกข์ได้จริง เปรียบเป็นเช่นยาขนานเอกในการรักษาโรคอุปปาทานได้อย่างชงัีดนัก เป็นธรรมโอสถอย่างแท้จริง


    แต่จะมีสักกี่คนที่ี่จะมาเข้าใจในแก่นแท้ของธรรม แ่ก่นแท้ของกฏสัจจะธรรม ที่ถูกซ่อนเอาไว้ในรูปแบบของ การมาบอกเล่า การมาเตรียมการ การมาประสานงานในเรื่องของภัยพิบัติ โดยผู้ทรงภูมิปัญญาจากดวงดาวอื่น

    แค่เอ่ยถึงในเรื่องของมนุษย์ต่างดาว ในเรื่องของภัยพิบัติ ในเรื่องของการทำงานกับระบบ ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง ล้วนแล้วแต่อยากที่จะเมินหน้าหนีทั้งสิ้น เพราะหมิ่นเหม่ในความคิดที่ว่า ผิดทางแล้ว นั่นเอง

    ทำให้คิดถึงความยากลำบากของพระพุทธองค์ที่ทรงเผยแพร่ธรรมในสมัยพุทธกาล เพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงตรัสรู้ เป็นสิ่งที่เชื่อได้ยาก เป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก เป็นสิ่งที่พิจารณาตามได้ยาก เพราะในยุคนั้น เป็นยุคที่มีลัทธิต่าง ๆ มากมาย มีการยึดถือในเทพเจ้า ในเทวดา ในเจ้าลัทธิ ต่าง ๆ มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีตัวตนให้กราบไหว้บูชาขอพรทั้งสิ้น ล้วนแต่เป็นผู้มีความยิ่งใหญ่ในปาฏิหาริย์ทั้งสิ้น เป็นผู้ที่คนทั้งหลายบูชาด้วยความศักดิ์สิทธิ์ทั้งสิ้น

    แล้วการที่จะนำสัจจธรรม ความจริงแท้ของธรรมไปบอกว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่คิดว่าเป็นเรานั้น มันไม่ได้มีจริง มันเป็นเพียงเหตุ เป็นเพียงปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้นมา ประกอบกันขึ้นมา มันไม่ได้เป็นตัวตน ของตน ไม่ได้มีตัวใครของใครจริง ๆ

    ลองนึกภาพดู ก็จะเห็นถึงความยากลำบาก ในการเผยแพร่พระธรรมของพระพุทธองค์ ท่ามกลางลัทธิมากมายเหล่านั้น ท่ามกลางความเห็นที่ว่ามีตัวตน ของตนอยู่นั้น

    เป็นการสวนทางอย่างสิ้นเชิง กับความเชื่อของคนทั่วไปในขณะนั้น

    แม้จะทรงนึกท้อพระทัยในขณะตรัีสรู้ใหม่ ๆ ที่จะนำพระธรรมไปเผยแพร่ เพราะรู้ดีว่า สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ ทรงตรัสรู้แล้วนั้น เป็นสิ่งที่สวนทางกับสิ่งที่มนุษย์โลกรับรู้กันอยู่ ยังยึดถือกันอยู่ ยังมองเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนกันอยู่ แล้วจะไปบอกอย่างไรได้

    แต่เมื่อทรงนึกได้ว่า แม้แต่บัวยังมี 4 เหล่า

    ผู้ที่มีธุลีในดวงตาน้อย ก็คงจะพอมีอยู่บ้าง ที่พอจะมองเห็นสัจจธรรมเหล่านี้ได้บ้าง

    และพร้อมที่เป็นดอกบัวที่ชูช่อขึ้นมาเหนือน้ำ และเบ่งบานรับแสงอาทิตย์ได้

    จึงตัดสินพระทัยที่จะเผยแพร่พระธรรมออกไป โดยเลือกบัวในเหล่าที่จะสามารถเข้าใจได้ง่ายก่อน

    จึงได้ทรงเลือกปัญจวัคคีทั้ง 5 เป็นอันดับแรก

    และ
    ปาฏิหาริย์แห่งธรรม ก็บังเกิดขึ้น

    ปัญจวัคคีโกณทัญญะ ได้ดวงตาเห็นธรรม เมื่อได้ฟังพระธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เทศนาธรรมโปรดในครั้งแรก

    นี่คือปาฏิหาริย์ เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่่เรียกว่าปาฏิหาริย์ คือ อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

    ที่สามารถทำให้คนที่ทุกข์ หายจากทุกข์ คนที่ต้องเกิด แก่ เจ็บ ตาย กลับไม่ต้องมีการมาเกิดแก่เจ็บตายอีก

    นี่คือ
    ..... ปาฏิหาริย์

    ที่เหลือนอกนั้นไม่ใช่ปาฏิหาริย์ เพราะไม่ว่าจะทำอะไร จะเหาะเหินเดินอากาศ จะมากมายฤทธิ์เดชล้นฟ้าอย่างไร ก็ยังไปไหนไม่ได้ ก็ยังต้องเวียนกลับมาเกิดแก่เจ็บตาย ซ้ำ ๆ ซาก ๆ อยู่อย่างนั้น แล้วจะเป็นปาฏิหาริย์ไ้ด้อย่างไร

    แม้หายตัวได้ ก็ยังไม่อาจหายออกไปจากวังวนสังสารวัฏที่ยาวนานได้

    แล้วจะพากันไปหลงไหลได้ปลื้ม กับแค่เหตุปัจจัยเล็ก ๆ น้อย ๆ บางเรื่องเหล่านั้นทำไม ?


    (ตอนที่ 1)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  13. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451
    (ตอนที่ 2...... มองให้เป็นจะเห็นความว่าง)

    เชื่อแน่ว่า ผู้ปฏิบัติธรรม ที่ได้เดินทางเข้าสู่สายแห่งธรรม ย่อมเป็นผู้ที่ปราถนาจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งสิ้น เป็นผู้ปราถนาที่จะพ้นจากกรรม วิบากกรรม พ้นจากการต้องมาเวียนว่ายตายเกิดทั้งสิ้น

    แต่ปัญหามัีนอยู่ที่ว่า จะมีปัญญาแยกแยะได้เท่าใด ว่าอันไหนของจริง อันไหนของปลอม ทางไหนตรง ทางไหนอ้อม ทางไหนเป็นแก่น ทางไหนเป็นกระพี้ เป็นเปลือก เป็นใบ

    ก็ต้องลองผิด ลองถูก ลองไปศึกษากันมานานาสำนัก ก็เพื่อหาทางที่จะค้นให้พบทางที่เป็นแก่น จะได้ปฏิบัติได้ตรง ได้เร็ว และพ้นจากทุกข์กันเสียที

    นี่เป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ต้องใช้ปัญญาอย่างยิ่งยวด เพราะการลวงล่อในรูปแบบที่น่าศรัทธาต่าง ๆ นา ๆ มีมากมาย

    ยากที่จะพิจารณาให้ถึงแก่นแท้ได้อย่างแท้จริง

    แต่มิใช่ว่า

    การพิจารณาเลือกเดินในทางสายใด สายหนึ่ง วิชาใด วิชาหนึ่ง สำนักใด สำนักหนึ่ง
    เป็นสิ่งที่ผิด หรือถูก

    นั่นเป็นไปตาม
    เหตุปัจจัย ตามอินทรีที่แก่กล้า ตามพละกำลังปัญญาพิจารณาไตร่ตรอง ของบุคคลนั้น ๆ ต่างหาก ที่จะมีความพร้อมเท่าใด

    ดังนั้น การที่จะเข้าไปกลางแก่นของต้นไม้ ก็ต้องผ่านใบ ผ่านเปลือก ผ่านกระพี้ ของต้นไม้เหล่านั้นไปก่อน จึงจะมองเห็นแก่นของต้นไม้ได้

    เราทั้งหลายก็เช่นกัน ต้องผ่านการลองผิดลองถูก ผ่านการก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้น ทีละขั้น จึงจะสามารถมองเห็นภาพรวมของเส้นทางที่เราเดินผ่านมาได้

    ถ้าไม่มีบันไดขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3

    เราก็ไม่อาจขึ้นมาสู่ขั้นที่ 4 ขั้นที่ 5 ได้เลย


    ดังนั้น บันไดแต่ละขั้น ธรรมะแต่ละศาสตร์ แต่ละสาย แต่ละวิธี ก็เป็นบันไดพื้นฐาน เพื่อการก้าวไปหาแก่นแท้ หา่การปล่อยวางทั้งสิ้น

    ดังนั้น อย่าได้ไปมองคนที่กำลังก้าวขึ้นมาขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ว่ายังหลง ยังยึด ยังไม่ถูกทาง นั่นเป็นการมองที่จะทำให้เกิดการเปรียบเทียบ จะทำให้ตนเองเป็นทุกข์

    ซึ่งคำของระบบที่กล่าวไว้ว่่าทุกอย่่าง ถูกต้อง (ตามเหตุตามปัจจัยนั้น ๆ) ได้ครอบคลุม และป้องกันการมองโดยการเปรียบเทียบนี้ไว้แล้ว


    นั่นคือ ทำให้ผู้ที่เข้าใจในคำ ๆ นี้ เลิกที่จะเปรียบเทียบว่า เราดีกว่าเขา เขาดีกว่าเรา หรือเราเสมอกับเขา

    ที่ระบบกล่าวไว้อย่างนี้ ก็เพราะว่า ทุกคนมีเหตุปัจจัยต่างกัน จึงมีปัญญา มีการพิจารณา มีการไตร่ตรอง มีภูมิธรรมไม่เท่ากัน

    แต่มิได้หมายความว่า เขาเหล่านั้น จะยังวนเวียนอยู่แต่ตรงจุดนั้นตลอดไป


    เหมือนกับเมื่อเราอยู่ชั้นป.2 เราอาจจะบวกเลข ลบเลขพอได้ แต่เรายังเพิ่งหัดใช้การคูณเลข เราัยังไม่เป็น เรายังทำไม่คล่อง

    หากพี่เราที่อยู่ชั้นป.5 มาสอนเรา ก็จะบอกว่า ทำไมสอนไม่จำ ทำอย่างนี้ คูณอย่างนี้ ไม่เห็นยากเลย ง่ายจะตายไป

    แต่สำหรับเรา สำหรับเด็ก ป.2 มันยากมากเลย


    เด็ก ป.5 ก็กำลังยากในการเรียนสูตร เรียนตรีโกณ ถอดสแควรูท หรืออะไรต่อมิอะไรที่ครูเพิ่งเริ่มสอน จึงยากสำหรับเด็ก ป.5 คนนั้น

    แต่้ถ้าพี่อีกคน ที่เรียนชั้นมัธยม ก็อาจจะบอกว่า ไม่เห็นยากเลย แค่ทำอย่างนี้ อย่างนี้ แค่นี้ก็ทำไม่ได้



    จะเห็นได้ว่า สามคนนี้ อยู่ในสภาวะที่ต่างกันโดยพื้นฐาน ตามสภาวะทางโลก ที่กำลังดำเนินอยู่

    มีสภาวะของการศึกษาที่ต่างกัน

    แต่น่าแปลก ..... ที่มีมุมมองเหมือนกัน

    นั่นคือ มองว่า เราดีกว่าเขา เราฉลาดกว่าเขา เรารู้มากกว่าเขา

    เป็นการมองโดยมีตัวเองเป็นตัวตั้ง ยึดมั่นถือมั่นในตัวเอง แล้วเอาผู้อื่นมาเทียบ ถ้าเรารู้มากกว่า เราดีกว่าเขา ก็จะมีความหยิ่ง ดูถูกคนอื่น

    ถ้าเขารู้มากกว่าเรา ก็จะหดหู่หม่นหมอง เพราะสู้เขาไม่ได้ เสียใจ ริษยา อยากเอาชนะ

    แต่ทุกคนคิดถูกต้อง ตามกำลังปัญญา ตามการยึดมั่นถือมั่นแต่ละคน และทุกคนก็จะได้รับความทุกข์ ความน้อยใจ เป็นของแจกของแถม ตรงไปตรงมาเช่นกัน

    แต่ถ้ามองให้่เป็น จะเห็นความเป็นเช่นนั้นเอง ว่า

    น้องคนเล็กอยู่ ป.2 เขายังคูณเลขไม่ค่อยได้ นั่นเพราะเขายังอยู่ ป.2 เขายังไม่ได้เรียนถึงชั้น ป.5 เขาจึงยังไม่เข้าใจการคูณเลขนั่นเอง

    ไม่ใช่เขาโง่ แต่เพราะเขายังเรียนไม่ถึงชั้น ป.5
    ถ้าเขาเรียนถึง ป.5 เขาอาจจะเรียนเก่งเลขมากกว่าพี่ในขณะนี้ก็ได้


    คนที่อยู่ ป.5 แม้จะเก่งกว่า ป.2 แต่ก็ยังทำการถอดสูตร ถอดสแควรูท ไม่ได้ ก็ถูกพี่เรียนมัธยมดูถูกเอา หาว่าโง่ ไม่จำ

    ไม่ได้หมายความว่า เด็ก ป.5 จะโง่กว่าคนเรียนมัธยม แต่เพราะเขายังเรียนไปไม่ถึง เขาจึงยังไม่รู้่นั่นเอง

    หรือคนที่เรียนมัธยม ชั้นสูงที่สุดในบ้าน เขาก็อาจมีความทุกข์ที่ถูกรุ่นพี่ปริญญา กระทบเอา ว่าสอนไม่จำก็เป็นได้


    ที่กล่าวมานี้ ก็เพื่อให้มองให้รอบว่า ไม่มีใครโง่ ไม่มีใครฉลาด ไม่มีใครเก่งกว่าใคร แต่เป็นเพราะแต่ละคนอยู่ในสภาวะที่ไม่เท่ากัน มีความรู้ มีการศึกษาที่ไม่เท่ากัน และเพราะความไม่รู้่ จึงไปหลงยึดในความไม่รู้นั้นว่าเป็นตัวเรา นั่นเอง ที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ เกิดการเปรียบเทียบ เกิดอัตตาตัวตนขึ้นมา

    การเปรียบเทียบอย่างนี้ ก็พอจะมองออก พอเปรียบเทียบมองเห็นภาพ

    แต่หากเป็นผู้ปฏิบัติธรรมด้วยกัน จะมองยาก เพราะแต่ละคนไม่อาจรู้ภูมิธรรมของอีกคนหนึ่งได้ อย่างดีก็ได้แค่ประมาณเอา

    จึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรอย่างยิ่ง ที่จะไปคาดคะเน ไปนึกคิดเอาเอง แต่ถ้าเห็นว่า เขาก็เป็นของเขาอย่างนั้นเอง ตามเหตุปัจจัยของเขาเหล่านั้น

    ก็จะตัดความวุ่ยวาย ในการไปพิจารณาคนอื่น แทนที่จะมาพิจารณาขันธ์ห้าของตนเอง


    คนเดียวก็เสียเวลาไปมากแล้ว ในการไปเอาเขามาพิจารณา

    แล้วถ้ามี 2 คน 5 คน 10 คน 20 คน หรือมากกว่านั้น

    จะยิ่งเสียเวลาในการพิจารณาขันธ์ห้าคนอื่นมากขึ้นไปอีก


    ดังนั้น การที่จะบอกธรรมะ การที่จะยื่นห่วงไปให้แก่ขันธ์ใด ๆ หากบอกไปแล้วเขาเชื่อ หรือบอกไปแล้วเขาไม่เชื่อ ก็ให้วางลงเสีย อย่าได้เยื่อใย ยื่นห่วงไปให้เขาเหล่านั้น เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่แต่ปัญญาในการไตร่ตรอง ของแต่ละภูมิธรรมนั้น ๆ

    ซึ่งก็ไม่พ้นจากบัว 4 เหล่าไปได้

    ดังนั้น สิ่งที่เรากำลังสงสัยว่า คนนั้นทำไมเป็นอย่างนี้ คนนี้ทำไมเป็นอย่างนั้น คนนั้นทำไมใจดี คนนี้ทำไมใจดำ
    จึงควรหมดข้อสงสัย เพราะทุกอย่าง
    มี เหตุปัจจัยส่งเขามาเป็นอย่างนั้น เพราะความไม่รู้ที่ยังไม่ได้ถูกขัดเกลาด้วยธรรม เขาจึงเป็นอย่างนั้นตามเหตุที่ทำไว้ นั่นเอง

    ถ้ามองผิดมุม ความทุกข์ก็ถามหา ความริษยาก็เกาะกิน

    ถ้ามองถูกมุม ก็จะเห็นความเป็นอย่างนั้นเองของทุกสรรพสิ่ง การที่จะส่งจิตออกนอกไปตัดสินใคร จะเิริ่มน้อยลง จะเริ่มอยู่ภายในมากขึ้น

    ก็เท่ากับไ้ด้ธรรมะไป 1 ข้อ

    คือ
    ไม่ส่งจิตออกนอก

    เพราะไม่รู้จะส่งออกไปทำไม ทุกอย่างล้วนถูกต้องตามเหตุปัจจัยนั้น ๆ อยู่แล้ว

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  14. หนุมาน ผู้นำสาร

    หนุมาน ผู้นำสาร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กรกฎาคม 2006
    โพสต์:
    13,682
    ค่าพลัง:
    +51,931
    *** สติแต่ละวัน ****

    อยู่กับ สัจจะตัดลดนิสัยตนเอง
    พิจารณาการกระทำกายวาจาใจตนเอง ให้เป็นไปตามสัจจะที่กล่าวไว้
    สิ่งที่ทำได้ ก็กลายเป็นธรรมติดตัว

    - " หนุมาน ผู้นำสาร "
     
  15. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    ผมได้ติดตามอ่านเรื่องราวของกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา)มานาน มิใช่หลงในเรื่องของมนุษย์ต่าวดาว แต่สนใจติดตามอ่านแนวทางปฎิบัติเพื่อการหลุดพ้นในการลด ละ เลิก ปล่อยวาง และไม่ยึดติดในอุปทานขันธุ์ 5 เสียมากกว่า

    ธรรมบรรยายที่ อ.สุดใจ นำมาเสนอ ณ ที่นี้ ถูกใจผมเสียนี่กระไร เป็นภาษาที่เรียบง่ายและสามารถนำไปปฎิบัติได้จริง โดยเฉพาะคำว่า ไม่ส่งจิตออกนอกไปตัดสินใคร มีนักปฎิบัติหลายท่าน ส่งจิตออกนอกไปตัดสินกับผู้อื่น ไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น แล้วก็ไปเที่ยวอบรมสั่งสอนคนอื่น ว่าตนเองเป็นผู้รู้ ตนเองเป็นผู้ที่อยู่เหนือกว่า โดยหารู้ไม่ว่าตนเองนั่นแหละกำลังหลง กำลังยึดติด...

    ดังนั้นเราจึงควรมองเข้าไปในตัวของตนเองนั่นแหละดีที่สุด

    ขออนุโมทนาสาธุ...
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  16. สุดใจเขากะลา

    สุดใจเขากะลา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 สิงหาคม 2007
    โพสต์:
    2,083
    ค่าพลัง:
    +11,451

    ขออนุโมทนากับคุณ pikarzo อย่างยิ่งค่ะ

    ที่ได้ร่วมบริจาคเงินสมทบทุนสร้างสถานปฏิบัิติธรรม จ.ส.อ.เชิด ชื่นสำนวน ในครั้งนี้ค่ะ

     
  17. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    wave คือคลื่นความคิดที่ทุกๆคนมี
    ธรรมะของเขากะลา มองทุกอย่างเป็น wave หมด
    แล้วเราจะแยกอย่างไรครับว่า wave นั้น มาจากระบบ หรือ มาจากจิตของคนๆนั้น ผมเข้าใจว่า การมองทุกอย่างเป็น wave นั้นเป็นอุบายธรรมอย่างหนึ่ง ในการทำให้ผู้กระทำนั้นทุกข์น้อยหรือไม่ทุกข์เลย เพราะทุกอย่างถูกต้องหมด จึงไม่มีอะไรผิด

    จึงใคร่ขอผู้รู้ช่วยชี้แนะด้วยครับ
     
  18. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    โอ้โห...

    พี่เม้าท์นี่..เสียบดาบยาว..เล่มเบ่อเริ่ม..
    ..ปักลงมาที่กลางหัวใจผมเลยนะเนี่ย..

    ถูกเผ็งเลยครับ..เพราะทุกครั้งที่ผมป่วย
    ผมก็จะมีความคิดอยู่ 2 -3 อย่าง ก็คือ

    1. ก็ดีเหมือนกันที่ป่วย เพราะร่างกายมันต้องการฟ้องว่าเราทำร้ายมัน
    มามากเกินไปแล้วนะ (ด้วยเหล้า ยา ปลาปิ้ง) ขอเวลาให้มันได้พักบ้างเถิด
    ก่อนที่จะไม่มีมันให้ได้ใช้งานมันอีกต่อไปจริงๆ

    2. ก็ดีเหมือนกันที่ป่วย เพราะสติ และความคิด มันจะได้วนเวียนอยู่กับตัวนี่แหละ
    ไม่ไปไหน จะได้คอยดูเวทนา จะได้ซ้อมตาย อะไรแบบนั้น

    3. ถ้าหายป่วยแล้ว "ฉันจะเลิกทำร้ายแกซะที เพราะฉันสงสารแก" และฉันก็
    จะเลิกใช้ชีวิตแบบ "โง่เขลา เบาปัญญา" จริงๆซะที เวลาเหลือน้อยแล้ว
    อะไรแบบนั้นด้วยหละครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  19. มองตน

    มองตน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 พฤษภาคม 2009
    โพสต์:
    58
    ค่าพลัง:
    +116
    ขอบคุณอาจารย์ไอยมากครับที่ให้คำตอบ แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเสียทีเดียว เพราะผู้ที่ฝึกจิตเข้าออกสมาธิจนเกิดเป็นความชำนาญ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำสมาธิในที่ที่เงียบสงบ ที่อึกทึกครึกโครมก็สามารถทำสมาธิได้ และการทำสมาธิเพื่อใช้ความคิดในการหาค้นหาคำตอบ คำตอบที่ได้นั้นก็อาจมีหลายวิธีการ เราจึงควรพิจารณาหาคำตอบที่ดีที่สุดมาใช้ในการดำเนินชีวิต แนวทางปฎิบัติของผมเรียกว่า ปัญญาอันเกิดจากการทำสมาธิ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคำตอบนั้นจะถูกต้องเสียทีเดียว จึงควรใช้สติในการพิจารณาและที่สำคัญคือ เราก็ไม่ควรยึดติด การที่อาจารย์ไอยเรียกว่าเป็น wave ก็ไม่ได้หมายความว่า wave นั้นจะถูกต้องเสมอไป อาจจะถูกหรืออาจจะผิด อาจจะจริงหรืออาจจะเท็จ เราไม่สามารถรู้ได้ เพราะในความถูกหรือผิด จริงหรือเท็จนั้น อาจจะผสมผสานความคิดของเราเข้าไปด้วยก็ได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรยึดติดใน wave เช่นเดียวกัน

    อาจารย์ท่านอื่นๆมีความเห็นเช่นใดครับ.....
    หรือว่าลด ละ เลิก ปล่อยวางกันไปหมดแล้ว ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ต้องขออนุโมทนา และต้องขอยืมคำของหลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน ที่ว่า ของจริงนิ่งเป็นใบ้ มาให้เพื่อนๆช่วยพิจารณา..
    ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 พฤษภาคม 2009
  20. p.apichart

    p.apichart เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 กุมภาพันธ์ 2007
    โพสต์:
    401
    ค่าพลัง:
    +4,041
    คำถามของคุณมองตนเป็นคำถามที่ดีมากเลยครับ พี่สุดใจน่าจะเป็นผู้ตอบได้กระจ่างชัดเจนที่สุด แต่เนื่องจากพี่สุดใจไม่ค่อยได้เข้ามาในกระทู้นี้บ่อยนักในช่วงหลัง ผมจึงขออนุญาตเป็นผู้ตอบในเบื้องต้นนี้ก่อนนะครับ
    <O:p</O:p
    จากคำถามแยกได้เป็น 2 ประเด็นนะครับ คือระหว่างขันธ์ห้าของบุคคลทั่วไป และขันธ์ห้าของคนในระบบ<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขันธ์ห้าของบุคคลทั่วไป ในความหมายของผมก็คือ ผู้ที่ไม่ได้ทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวโดยตรงในการช่วยเหลือด้านภัยพิบัติที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ในการมองทุกอย่างเป็นWAVEหมดนั้นถูกต้องแล้วครับ แต่การที่กล่าวว่า การมองทุกอย่างเป็นWAVEเป็นอุบายธรรมอย่างหนึ่งนั้น อาจยังไม่ถูกต้องนัก เนื่องจากขันธ์ห้าของเรา ซึ่งประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ หรือจะเรียกอีกอย่างหนึ่งก็คือ รูป กับ นาม
    <O:p</O:p
    คำว่ารูป ก็คือสิ่งที่มองเห็นเป็นตัวตนของเรา สามารถจับต้องได้ ประกอบไปด้วยธาตุ ดิน น้ำ ลม ไฟ ตามที่เราทราบกันดีอยู่แล้ว
    <O:p</O:p
    คำว่านาม ในสมัยพุทธกาลก็กล่าวกันมาว่าเป็นสิ่งที่มีอยู่ในตัวเรา แต่จับต้องไม่ได้ ซึ่งประกอบด้วย เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ แต่ในยุคปัจจุบัน วิทยาศาสตร์ก้าวล้ำหน้าไปมาก สามารถที่จะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ตรวจวัดคำว่า นาม ดังกล่าวได้ เช่น วัดคลื่นสมองบ้าง คลื่นความคิดบ้าง ออกมาได้ในรูปของพลังงานไฟฟ้า หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อะไรต่างๆ เหล่านี้เป็นต้น ดังนั้นระบบจึงให้มองขันธ์ห้าในหมวดของนามทั้งหมดนี้เป็นWAVEจริงๆ ครับ เพราะในความเป็นจริงมันก็คือคลื่นพลังงานชนิดหนึ่งจริงๆนั่นเอง มิได้ให้เหมามองรวมไปโดยไม่มีเหตุผล<O:p</O:p
    <O:p</O:p
    ขันธ์ห้าของคนในระบบ กรณีนี้ถ้าเป็นในโทรทัศน์จะขึ้นคำว่า “โปรดใช้วิจารณญาณในการชม” นะครับ เป็นเรื่องเฉพาะกิจที่ไม่เคยมีไม่เคยเป็นมาก่อน การที่มีกลุ่มประสานงานเพื่อการเตือนภัย(เขากะลา) ขึ้นมานั้น จุดประสงค์หลักคือ เรื่องภัยพิบัติ แต่บุคคลที่จะต้องทำงานร่วมกับมนุษย์ต่างดาวในการช่วยเหลือภัยพิบัติ ไม่ว่าจะรู้ตัว หรือไม่รู้ตัวว่าจะต้องทำงานหรือกำลังทำงานอยู่ก็ตามนั้น คนระบบเหล่านี้จะได้รับคลื่น หรือWAVEจากระบบโดยตรงกันทุกคนแบบตัวต่อตัว ไม่มีการรับข้อมูลมาที่คนหนึ่งแล้วถ่ายทอดไปที่อีกคนหนึ่ง กรณีนี้ผมไม่ได้หมายถึงการพูดจาถ่ายทอดข้อมูลกันนะครับ
    <O:p</O:p
    ในช่วงที่มีการฝึกเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว จะมีการฝึกประมวลพลังกัน ก็คือการฝึกเพื่อรับคลื่นจากต่างดาว หรือจากระบบ ซึ่งคลื่นนี้จะสามารถส่งเข้ามาในขันธ์ห้าของผู้ฝึกได้ตั้งแต่ คลื่นความคิด ความรู้สึก หรืออารมณ์ต่างๆ ( ได้แก่ รัก โลภ โกรธ เกลียด กลัว หนาว ร้อน เป็นต้น ) มีWAVEพูด รวมถึงการแสดงกริยาอาการต่างๆ หลากหลายรูปแบบมาก จุดประสงค์ส่วนหนึ่งของการฝึกก็เพื่อที่จะแยกได้ว่าWAVEต่างๆ เหล่านั้นมาจากระบบจริงๆ ไม่ใช่เราเป็นผู้คิด
    <O:p</O:p
    ดังนั้น ปัจจุบันแม้หลายๆ ท่านจะทราบว่าตนเองเป็นคนระบบก็จริง แต่ก็ใช่ว่าหลายๆ ท่านเหล่านั้นจะสามารถแยกแยะข้อมูลออกมาได้ว่า ข้อมูลไหนคิดเอง หรือข้อมูลไหนจากระบบ แต่ผู้ที่ได้รับการขยายระบบมากๆ (หมายถึงรับฟังการอธิบายขยายความเรื่องที่เกี่ยวข้องกับระบบและธรรมมะ) ก็จะมีความเข้าใจมากขึ้น มองเห็นสิ่งต่างๆ รอบตัวเป็นWAVEมากขึ้นๆ ซึ่งนั่นก็หมายถึงว่าความยึดมั่นถือมั่นที่เห็นเป็นตัวเป็นตนของตน และของผู้อื่นนั้นก็จะลดน้อยถอยลงตามไปด้วยเรื่อยๆ เช่นกันครับ<O:p</O:p
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 25 พฤษภาคม 2009
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...