ประเทศไทยจะเกิดอุบัติภัยอย่างที่ทำนายกันจริงๆหรือไม่

ฤทธิ์ภัยธรรมชาติ ถล่มโลกปี 51

เมื่อพูดถึงภัยธรรมชาติที่โลกต้องผจญในรอบปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีหลายประเทศร้องโอ๊ย เนื่องจากได้รับความเสียหายย่อยยับและรุนแรงขนาดไหนกันมั่ง ทีมข่าวต่างประเทศ เก็บเนื้อหามาร้อยเรียง ได้ความดังนี้.....


​

​

ธรณีพิโรธถล่มมณฑลเสฉวน ประเทศจีน

เกิดเหตุแผ่นดินไหวที่มณฑลเสฉวน ของจีน เมื่อ 12 พฤษภาคม ที่ผ่านมา วัดแรงสั่นสะเทือนได้ถึง 7.9 ริกเตอร์ ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนในเมืองต่างๆที่ใกล้จุดแผ่นดินไหวพังทลายราบ โดยแรงสั่นสะเทือนยังรู้สึกไปไกลถึงกรุงปักกิ่ง นครหลวงของจีน, ฮ่องกง, ไต้หวัน, ญี่ปุ่น, เวียดนาม แม้แต่ไทยซึ่งอยู่ห่างหลายพันกิโลเมตรยังรับรู้ได้ แสดงว่าโลกได้เผชิญกับภัยพิบัติจากธรรมชาติมากและถี่ขึ้น เพราะก่อนหน้านี้ก็เกิดเหตุการณ์ แผ่นดินไหวในพื้นที่หลายแห่งของโลก แต่แรงสั่นสะเทือนไม่รุนแรงเท่ากรณีที่เกิดในมณฑลเสฉวน ซึ่งตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน

เหตุแผ่นดินไหวในจีนครั้งนี้มีจุดศูนย์กลางการสั่นสะเทือนอยู่ลึกใต้ดิน 29 กม. ห่างจากเมือง เฉิงตู เมืองเอกของมณฑลเฉสวน ขึ้นไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ ทั้งนี้ แรงสั่นสะเทือนยังได้ลามไปถึงนครเซี่ยงไฮ้ทางภาคตะวันออก ทำให้ตึกจินเหมา อาคารสูงที่สุดของประเทศสั่นไหวโงนเงน จนต้องมีการอพยพประชาชนลงจากตึกอย่างฉุกละหุก

ทั้งนี้ เมืองเฉิงตู อยู่ห่างจากกรุงปักกิ่งไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ถือเป็นที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดเมืองหนึ่งของจีน ทั้งยังเป็นสถานที่ ตั้งของศูนย์วิจัยและเพาะพันธุ์หมีแพนด้า ตลอดจนเป็นที่ตั้งของเขื่อนสามหุบผา ซึ่งเป็นโครงการเขื่อนขนาดยักษ์

ธรณีพิโรธครานี้ทำให้มีผู้เสียชีวิต, สูญหายและได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นเด็กนักเรียนประสบเคราะห์เสียชีวิตประมาณ 2 หมื่นศพ ก่อให้เกิดการประท้วงและความไม่พอใจของบรรดาผู้ปกครอง เนื่องจากมีรายงานว่า โรงเรียนหลายแห่งพังถล่มลงมาเพราะใช้วัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน

ด้านนายกรัฐมนตรี เหวิน เจียเป่าของจีน รับหน้าที่เป็นหัวหน้าศูนย์อำนวยการปฏิบัติการกู้ภัย เพื่อช่วยผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากตึกทันควัน สั่งให้มีการค้นหาผู้รอดชีวิตหลายวันติดต่อกันหลังจากเกิดเหตุ โศกนาฏกรรมแผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งที่มนุษยชาติเคยประสบมา

​

​

พายุไซโคลนนาร์กีสกระหน่ำพม่า

พายุไซโคลนนาร์กีสถล่มประเทศสหภาพ พม่าเมื่อวันที่ 2-3 พฤษภาคมที่ผ่านมา ด้วยแรงลมความเร็วถึง 190 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พัดเข้าถล่มทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า ความเร็วของพายุรุนแรงระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับ สร้างความเสียหายร้ายแรงต่อพื้นที่ลุ่มแม่น้ำอิรวดี ไปจนถึงนครย่างกุ้ง และทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 78,000 ศพ จนทำให้บางคนเปรียบความเสียหายที่เกิดขึ้นนี้ว่า เลวร้ายยิ่งกว่าเหตุ ธรณีพิบัติภัยคลื่นยักษ์สึนามิซัดถล่มชายฝั่งทะเลอันดามันเมื่อปี 2547 ซะอีกจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหากใครจะจดจำปีเก่าที่กำลังผ่านพ้นไปในฐานะ "ปีที่ธรรมชาติลงโทษมนุษย์" อย่างหนักหน่วง เพราะนับตั้งแต่ต้นปีถึงท้ายปี บอกได้เลยว่าไม่มีเดือนไหนที่โลกว่างเว้นจาก "ภัยธรรมชาติ" ซึ่งแม้จะไม่หนักหนาเท่าสิ่งที่เกิดขึ้นในพม่าและจีน แต่ก็อ่วมอรทัยไม่แพ้กัน!!

28 ม.ค. เกิดพายุหิมะกระหน่ำทางฝั่งตะวันออกและทางใต้ของจีน ทำคนหนาวตาย 24 ศพ และต้องอพยพชาวเมืองกว่า 827,000 คน ออกจากพื้นที่ ทั้งยังมีผู้โดยสารกว่า 600,000 คน ติดอยู่ในรถไฟเพราะเส้นทางถูกตัดขาดหลังหิมะกองสุมหนาเตอะ สายการบินหลักกว่า 15 แห่งต้องระงับเที่ยวบิน ความเสียหายทางเศรษฐกิจโดยประมาณอยู่ที่ 3.2 พันล้านดอลลาร์

ก.พ.-เม.ย. พายุทอร์นาโดหลายลูกพัดกระหน่ำพื้นที่ทางตอนใต้และตะวันตกเฉียงเหนือของสหรัฐฯ นับตั้งแต่รัฐเทนเนสซี อาร์คันซอ อลาบามา เคนตักกี จอร์เจีย โอไฮโอ เมืองแอตแลนตา เวอร์จิเนีย รวมถึงเท็กซัส และเพนซิลเวเนีย ทั้งยังทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันตามมา มีผู้เสียชีวิต 70 ศพ

11 พ.ค. พายุทอร์นาโดบุกสหรัฐฯอีกครั้ง บริเวณรัฐมิสซูรี โอกลาโฮมา และจอร์เจีย ทำให้มีผู้เสียชีวิต 20 ศพ และประชาชนกว่า 9,000 คน ติดอยู่ในเมืองโดยไม่มีไฟฟ้าใช้นานถึง 3 วัน

17 มิ.ย. พื้นที่ใน 9 มณฑลทางภาคใต้ของจีนได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 50 ปี ทำลายพื้นที่ทางการเกษตรของประชาชนกว่า 5.4 ล้านเอเคอร์ ขณะที่แผ่นดินถล่มซ้ำ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 60 ศพ และอีก 13 คนหายสาบสูญ

24 ก.ค. นักท่องเที่ยวชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติรวม 90 คน ได้รับบาดเจ็บหลังเกิดแผ่นดิน ไหว 6.8 แมก นิจูด ที่เมืองอิวาเตะ ทำให้บ้านเรือนนับพันหลังได้รับความเสียหาย

28 ส.ค. น้ำในแม่น้ำโกสีไหลท่วมเมืองทางตอนเหนือของรัฐพิหารในอินเดีย แม้รัฐบาลสั่งอพยพประชาชนกว่า 2 ล้านคนออกจากพื้นที่แต่ยังมีผู้เสียชีวิตถึง 75 ศพ และอีก 5 แสนคนกลายเป็นคนไร้ที่อยู่

1 ก.ย. พายุเฮอริเคน "กุสตาฟ" ก่อตัวแถวชายฝั่งกัลฟ์โคสต์ของสหรัฐฯ ซัดเข้าฝั่งเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนา จอร์เจีย และมิสซิสซิปปี ทำให้ไฟฟ้าถูกตัดขาด และมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 26 ศพ


​

​

5 ก.ย. พายุโซนร้อน "ฮันนา" พัดกระหน่ำเมืองท่าโกนาอีฟส์ของเฮติ มีผู้เสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บนับร้อยคน

7-8 ก.ย. หมู่เกาะแถบทะเลแคริบเบียน รวมถึงเฮติและคิวบา ถูกพายุเฮอริเคน "ไอค์" ถล่มราบ พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุดคือเกาะเติร์กและไคคอส บ้านเรือนกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ เสียหายยับเยิน ส่วนที่เฮติมีผู้เสียชีวิต 61 ศพ และอีก 4 ศพในคิวบา

13-14 ก.ย. พายุเฮอริเคนไอค์เคลื่อนตัวจาก ทะเลแคริบเบียนเข้ามาทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ส่งผลให้รัฐเท็กซัสและเมืองฮิวส์ตันเผชิญกับพายุฝนกระหน่ำและลมพายุพัดรุนแรง ขณะที่เมืองกัลเวสตันเบย์ ซึ่งเป็นเมืองบนเกาะได้รับผลกระทบหนักที่สุด ประชาชนกว่า 15,000 คน ตกค้างอยู่ในเมืองที่ถูกน้ำท่วมตัดขาดจากสาธารณูปโภคพื้นฐาน ทั้งน้ำประปา ไฟฟ้า และรถโดยสาร ยอดผู้เสียชีวิตทั้งหมดอยู่ที่ 50 ศพ

14-16 ก.ย. เฮอริเคนไอค์เคลื่อนตัวต่อไปยังรัฐหลุยเซียนา แคนซัส และมิสซูรี ตอนกลางของภาคตะวันตกในสหรัฐฯ ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากฝนกระหน่ำและน้ำท่วมไหลบ่าเพิ่มอีก 17 ศพ


​

​

6 ต.ค. ชาวคีร์กีซสถาน 70 รายเสียชีวิต และผู้บาดเจ็บอีกนับร้อย หลังเกิดแผ่นดินไหวแรง 6.6 แมกนิจูด ทำให้เมืองนูราในแคว้นออชพังราบ

29 ต.ค. เกิดแผ่นดินไหวแรง 6.4 แมกนิจูด ทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของปากีสถาน ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 170 ศพ และบ้านเรือนกว่า 15,000 หลังได้รับความเสียหาย

22-23 พ.ย. ชาวบราซิลเสียชีวิตอย่างน้อย 119 ศพ และอีก 80,000 คนไร้ที่อยู่ หลังฝนกระหน่ำติดต่อกันอย่างรุนแรง ทำให้ระดับน้ำเพิ่มสูงในรัฐซานตาแคลิฟอร์เนีย ทางตอนใต้ของประเทศ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วม และดินถล่ม

11 ธ.ค. ประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช แห่งสหรัฐฯ ประกาศภาวะฉุกเฉินบางพื้นที่ในรัฐแมสซาชูเสตต์และนิวแฮมป์เชียร์ พร้อมส่งทหารหน่วยกู้ภัยเข้าไปช่วยเหลือ หลังมีพายุน้ำแข็งพัดกระหน่ำติดต่อกันหลายวัน ทำให้ไฟฟ้าดับ บ้านเรือนกว่า 800,000 หลังตกอยู่ในความมืดและหนาวเย็น


​

​

บริษัทสร้างภาพว่าอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม

บรรดาผู้นำประเทศสมาชิกสหประชาชาติต่างเห็นพ้องต้องกันว่าสาเหตุ ที่ทำให้ภัยธรรมชาติทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ มีความเกี่ยวพันกับ "ภาวะโลกร้อน"

ขณะที่สรุปผลรายงานการประชุมด้านสิ่ แวดล้อม และการรับมือปัญหาภาวะโลกร้อนครั้งที่ 4 ซึ่งจัดขึ้นที่เมืองพอซนันในโปแลนด์ ระหว่าง 11-13 ธ.ค. ก็ระบุชัดเจนว่า ภาวะโลกร้อนส่งผลให้สภาพอากาศในภูมิภาคต่างๆทั่วโลกแปรปรวน ก่อให้เกิดผลกระทบใหญ่หลวงตามมาต่อสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิตมนุษย์ ทั้งยังทำให้ภัยธรรมชาติแต่ละครั้งร้ายแรงขึ้นด้วย

เป้าหมายที่นานาชาติต้องร่วมมือกันจึงได้แก่ การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนสู่ชั้นบรรยากาศ การลดปริมาณการตัดไม้ทำลายป่าทั่วโลก รวมถึงการส่งเสริมพลังงานทางเลือกทดแทนพลังงานถ่านหิน ซึ่งจะว่าไปก็แทบไม่ต่างอะไรจากที่เคยประชุมที่บาหลีเมื่อปี 2550 ทำให้หลายฝ่ายวิพากษ์วิจารณ์ ว่าผู้นำกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ รวมถึงสหภาพยุโรป และจีน ไม่มีความจริงใจในการแก้ปัญหา ทำให้ประเทศเล็กๆ และประเทศกำลัง พัฒนาขาดความกระตือรือร้นในการรณรงค์ ด้านสิ่งแวดล้อมไปด้วย

ทว่า "กระแสสีเขียว" หรือ "การรณรงค์ ลดภาวะโลกร้อน" ในภาคธุรกิจกลับคึกคักสวนทางกับความเคลื่อนไหวจากภาครัฐอย่างมาก ถึงขนาดที่บริษัทหรือผู้ประกอบธุรกิจต่างๆ หันมาชูจุดขายว่าสินค้าหรือบริการของตนนั้น "สีเขียว" หรือ "เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม" จนเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก

อย่างไรก็ดี "เอติคัล บิสเนส แมกกาซีน" นิตยสารเพื่อการประกอบธุรกิจอย่างมีจริยธรรมของอังกฤษ และองค์กรเอกชนเฝ้าระวังผู้ประกอบการธุรกิจของสหรัฐฯ ที่มีชื่อว่า "คอร์ปวอตช์" ออกมาเตือนประชาชนให้รู้ทัน "กระบวนการสร้างภาพ" ของผู้ประกอบการธุรกิจต่างๆ ว่ายังมีสินค้าและบริการอีกมากที่ใช้กลยุทธ์ฟอกเขียว (Greenwash) ซึ่ง "สร้างภาพ" หรือ "ให้ข้อมูลด้านเดียว" จนผู้บริโภคเข้าใจว่าสินค้าเหล่านั้นไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม หรือไม่ก็โน้มน้าวให้ผู้บริโภคเชื่อว่า การซื้อสินค้าหรือบริการของธุรกิจฟอกเขียวเป็นหนทางหนึ่งในการส่งเสริมธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม

สำนักข่าวบีบีซีของอังกฤษรายงานเพิ่มเติม ว่า ปีนี้กองทุนคุ้มครองสัตว์ป่าโลก (WWF) มอบ รางวัล "สุดยอดนักฟอกเขียว" ให้กับบริษัทน้ำมันข้ามชาติรายหนึ่ง ซึ่งยกเลิกการสนับสนุนเงินรางวัลการประกวดภาพถ่ายสัตว์ป่า หลังช่างภาพบางคนถ่ายภาพสัตว์ที่ได้รับผลกระทบบริเวณแหล่งขุดเจาะ น้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทดังกล่าวและส่งเข้าประกวด ในขณะที่โฆษณาในปี 2551 ของบริษัทน้ำมันแห่งนี้อวดอ้างมาตลอดว่า "เป็นผู้สนับสนุนการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม"

ภารกิจรับมือภาวะโลกร้อนและภัยธรรมชาติในปีหน้าฟ้าใหม่ 2552 จึงเป็นประเด็นสาธารณะที่ทุกคนต้องช่วยกันคนละไม้คนละมือ เพราะดูท่าว่าการโบ้ยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหรือหน่วยงานใดๆคงไม่พอ และที่สำคัญก็คือทุกครั้งที่เกิดภัยธรรมชาติ คนที่อ่วมหนักสุดก็ได้แก่ประชาชนตาดำๆ ทู้กทีสิน่า!

​

​

คนดังที่รณรงค์ช่วยโลก

หากพูดถึงดาราใจบุญชาวฮอลลีวูดที่เข้ามามีส่วนช่วยเหลือสังคมและเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน มีแซมเปิ้ลได้แก่......

1. แบรด พิตต์ ดาราหนุ่มเซ็กซี่ของนิตยสารพีเพิล เป็นผู้ก่อตั้งมูลนิธิ เมค อิท ไรต์ หรือ "ทำในสิ่งที่ถูก" เพื่อ ช่วยสร้างที่พักอาศัยให้แก่ผู้ประสบภัยจากพายุเฮอริเคนที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว พิตต์กะว่าเป็นโครงการระยะยาว แถม แองเจลินา โจลี ศรีภรรยาสุดเลิฟ ยังมีรอยสักไว้เพื่อเตือนใจชาวโลก ให้ โนว์ ยัวร์ ไรต์ กรุณารู้ถึงสิทธิอันชอบธรรมของพวกคุณด้วยนะ อู้ย คู่สามีภรรยาคู่นี้นอกจากหน้าตาดีเลิศประเสริฐศรีแล้ว ยังใจบุญซะด้วยสิ มีการรับเด็กกำพร้านำมา เลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ของโจลี-พิตต์ตั้งหลายคน แถมยัง ช่วยปลอบขวัญผู้ลี้ภัย ซะด้วย

2. ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ ดาราหนุ่มจากหนังเรื่องไททานิค กลายเป็นศิษย์โปรดของอดีตรองประธา-นาธิบดี อัล กอร์ แห่งสหรัฐฯ หลังเขารณรงค์ชูธงช่วย "ลดภาวะโลกร้อน" กับท่านกอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้นายอัล กอร์ คว้ารางวัลออสการ์หนังสารคดีเรื่อง ดิ อินคอนวีเนียนต์ ทรูธ มาแล้ว

3. ชาร์ลีซ เธียรอน ดาราหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์จากเรื่องมอนสเตอร์'ส บอล ได้รับเลือกให้เป็น ผู้นำสารสันติภาพจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เมื่อเร็วๆนี้ หลังมีส่วนรณรงค์เรื่อง สิทธิสัตว์ และ ช่วยรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อสตรีและเด็ก เช่นเดียวกับที่ นิโคล คิดแมน ดาราหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์เรื่อง The Hours ก็ได้รับเลือกจากกองทุนพัฒนาสตรีของสหประชาชาติให้เป็นทูตสันถวไมตรี ไปหมาดๆ

4. คริส มาร์ติน นักแต่งเพลงและสมาชิกของวงดนตรีโคลด์เพลย์ รวมทั้งเป็นสามีของกวินเน็ท พัลโทรว์ ดาราหญิงที่มีรางวัลรับประกันคุณภาพของวงการบันเทิงอีกคน วงดนตรีวงนี้มีส่วนร่วมในการแสดงคอนเสิร์ตไลฟ์เอดส์

5. อาร์โนลด์ ชวาร์เซเนกเกอร์ ดาราหนุ่มใหญ่ที่กลายเป็นผู้ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย เข้าร่วมประชุมหาทางลดปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นพิษเป็นประจำ เพราะเห็นความสำคัญในด้านนี้น่ะซี.

​

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก

ทีมข่าวต่างประเทศ


สวัสดีปีใหม่ทุกท่านครับ
​

 

เทวดาไม่เคยละทิ้งที่จะช่วยเหลือคนดีมีศีลธรรม

​

อ้างอิง:
<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: 1px inset; BORDER-TOP: 1px inset; BORDER-LEFT: 1px inset; BORDER-BOTTOM: 1px inset">ข้อความดั้งเดิมโดยคุณ littlelucky
ขอความเห็นครับ สมมุติว่า เกิดภัยพิบัติ พร้อมทั้งมีความเดือดร้อนยุ่งยาก สถานการณ์ที่ตึงเครียด บีบบังคับให้ตัดสินใจให้หาทางแก้ไข ขณะที่อันตรายล้อมกรอบ สิ่งที่ดีต่าง ๆ ที่เคยมีกลับ ล่มสลายลงไป สิ่งที่ไม่ดี หรือปัญหาก็ตามขึ้นมาพร้อม ๆ กัน ระบบที่เตรียมการณ์ไว้ช่วยเหลือก็ล้มเหลวไม่เป็นท่า ใช้การไม่ได้ พึ่งพาไม่ได้ จนถึงขั้นเกิดความสิ้นหวัง หมดหวัง ทำให้ถึงกับยอมแพ้ ท่านจะประคองจิตอย่างไร จะจัดการอย่่างไร ทำใจอย่างไรครับ และจะแก้ไขอย่างไร ?
</TD></TR></TBODY></TABLE>

​

​

เราต้องสร้างกำลังใจให้ได้เหมือนพระมหาชนกครับ ดั่งคติคำสอนเตือนใจจากทศชาติชาดกเรื่อง"พระมหาชนก"ที่มหาชนกกุมาร ทรงตอบนางมณีเมขลา ขณะที่ทรงแหวกว่ายลอยตัวอยู่ในทะเลนานถึง ๗ วัน ว่า

"ความเพียรย่อมมีประโยชน์ แม้จะมองไม่เห็นฝั่ง เราก็จะว่ายไปจนกว่าจะถึงฝั่งเข้าสักวันหนึ่ง" "คนที่ทำความเพียรนั้น แม้จะต้องตายไปในขณะกำลังทำความเพียรพยายามอยู่ ก็จะไม่มีผู้ใดมาตำหนิติเตียนได้ เพราะได้ทำหน้าที่เต็มกำลังแล้ว " และ "แม้จะรู้ว่าสิ่งที่เรา กำลังกระทำนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม

ถ้าไม่เพียรพยายามแต่กลับหมดมานะเสียแต่ต้นมือ ย่อมได้รับ ผลร้ายของความเกียจคร้านอย่างแน่นอน ย่อมไม่มีวัน บรรลุถึงเป้าหมายที่ต้องการ บุคคลควรตั้งความเพียรพยายาม แม้การนั้นอาจไม่สำเร็จก็ตาม เพราะเรามีความพยายาม ไม่ละความตั้งใจ เราจึงยังมีชีวิตอยู่ได้ในทะเลนี้ เมื่อคนอื่นได้ตายกันไปหมดแล้ว เราจะพยายามสุดกำลัง เพื่อไปให้ถึงฝั่งให้จงได้"

ที่มา http://www.learntripitaka.com/Chadok/Chadok02.html

ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ทำกำลังจะเกิดในกึ่งพุทธกาลนี้​

​

ในยุคสามร่มโพธิ์ศรีอาริย์ ที่กำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้ เป็นเรื่องที่ได้รับการทำนายกันมาแต่โบราณกาลแล้วว่าในอนาคต เมื่อมนุษย์ไม่ประพฤติตัวอยู่ในศีลธรรมอันดี มีราคะ โทสะ และโมหะอย่างแรงกล้า จะเกิดการรบราฆ่าฟันกันอย่างรุนแรง และภัยจากธรรมชาติก็จะมากวาดล้างมนุษย์ผู้ไร้ศีลธรรมเหล่านี้ ให้ตายจากโลกนี้ไปจนหมด เหลือไว้แต่คนดีมีศีลธรรม ที่มีความกตัญญูรู้คุณบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ เชื่อมั่นและปฎิบัติตนอยู่ในหลักแห่งพระพุทธศาสนา

เมื่อโลกประสบกับมหันตภัยครั้งใหญ่นั้น จะทำให้โลกมนุษย์มืดสนิทไร้แสงจากดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาวต่างๆ ไปถึง ๗ วัน ๗ คืน ตำนานบางแห่งบอกว่านานถึง ๔๙ วันเลยทีเดียว ในเวลานั้นจะเกิดภัยพิบัติทั้งจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ เข้ากวาดล้างผู้คนที่ไร้ศีลธรรมให้ตายไปจากโลกนี้ คนที่จะรอดจากภัยพิบัติได้ต้องปฎิบัติตนอยู่ในศีล ๕ อย่างเคร่งครัดและปฎิบัติตนในช่วงเวลาคับขันดังนี้

ทางรอดจากภัยพิบัติ (ในตำนานพระศรีอาริย์)

 

ครับ เรื่องนี้เอาช่วยเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาเขาได้ใจกันมากเกินไปครับ
ส่วนเรื่องของกรรมนั้น พี่ครับ เราช่วยเท่าที่ช่วยได้เถิดครับ
เพราะเรื่องแบบนี้หาข้อยืนยันยากจริงๆ ถ้าไม่เกิดก็ไม่เห็น

ก็ขอให้สมาชิกทุกท่านพยายามทำใจคิดถึงมรณานุสติเข้าไว้
จะเกิดภัยอะไรหรือไม่ ก็ขอให้นึกถึงไว้ตลอดเวลา แล้วทำใจให้เป็นปกติ
ขอให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัยอย่างจริงใจนะครับ
ขอให้ทุกคนโชคดี

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เมืองพัทลุงยังอ่วมราษฎรเดือดร้อนกว่า 7 พันครัวเรือน</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มกราคม 2552 10:08 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

​

พัทลุง - สถานการณ์น้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดพัทลุงยังไม่พ้นวิกฤติ บ้านเรือนประชาชนรวมทั้งพื้นที่ทางด้านการเกษตรยังจมอยู่ใต้น้ำ ล่าสุดราษฎรได้รับความเดือดร้อนแล้ว 7,257 ครัวเรือน 23,451 คน - ผู้ว่าฯ พัทลุงเปิดศูนย์เพื่อรับบริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อน

สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ของจังหวัดพัทลุงยังไม่พ้นวิกฤต ล่าสุดระดับน้ำยังคงท่วมสูง ในพื้นที่อำเภอเขาชัยสน อำเภอเมือง อำเภอควนขนุน อำเภอบางแก้ว และอำเภอปากพะยูน บ้านเรือนราษฎรใน 186 หมู่บ้าน มีน้ำท่วมสูงประมาณ 1-120 เซนติเมตร พื้นที่ทางด้านการเกษตร นาข้าว สวนยาง สวนปาล์มกว่า 30,000 ไร่ ยังจมอยู่ใต้น้ำ

โดยเฉพาะในพื้นที่ตำบลเขาชัยสน ตำบลจองถนน อำเภอเขาชัยสน ตำบลท่ามะเดื่อ อำเภอบางแก้ว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวกราดท่วมบ้านเรือนประชาชน และถนนหลายสายถูกกระน้ำกัดเซาะขาด จนไม่สามารถใช้เส้นทางสัญจรผ่านไปมาได้และหลังจากปริมาณฝนได้ลดลง 2 วันที่ผ่านมา ทำให้สถานการณ์ท่วมในพื้นที่ริมป่าเทือกเขาบรรทัด ในอำเภอกงหรา อำเภอตะโหมด อำเภอป่าบอน อำเภอศรีนครินทร์ อำเภอศรีบรรพต และ อำเภอป่าพะยอม ระดับน้ำ ได้ลดลงเกือบเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ยังคงท่วมขังในพื้นที่ลุ่มแม่น้ำ

ในขณะที่ทางสำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณะภัยจังหวัดพัทลุง กำลังเร่งสำรวจความเสียหาย ในเบื้องต้นมีราษฎรได้รับความเดือดร้อนแล้ว 7,257 ครัวเรือน 23,451 คน

ด้าน นายสุเทพ โกมลภมร ผู้ว่าราชการจังหวัดพัทลุง ได้เปิดศูนย์เพื่อรับบริจาคสิ่งของเครื่องอุปโภคบริโภคขึ้นที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อนำไปช่วยเหลือชาวบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนจากอุทกภัยน้ำท่วม หลังจากที่เงินงบประมาณของจังหวัดในการช่วยเหลือมีไม่เพียงพอจึงต้องเปิดขอบริจาค โดยในวันนี้มีบริษัทเอกชนนำสิ่งของจำพวก มาม่า ปลากระป๋อง น้ำปลา น้ำมันพืช และน้ำดื่มจำนวน 500 ชุดมามอบให้ ก่อนที่จะไปมอบให้ประชาชนที่ได้รับความความเดือดร้อนต่อไป


ที่มา http://www.manager.co.th/Local/ViewNews.aspx?NewsID=9520000000011

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยเหยื่อ

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>เผยเหยื่อ “ซานติก้า” ตายเพิ่มอีก 2 รวม 64 ราย ยังอาการหนักอีก 34 ราย</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มกราคม 2552 11:58 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>

​

​

​

สธ.เผยความคืบหน้าผู้บาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้ซานติก้า ผับ พบเสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย ไทย 1 ราย ญี่ปุ่น 1 ราย สรุปยอดรวมเสียชีวิต 64 รายแล้ว เหลือผู้บาดเจ็บนอนรักษา 67 ราย อาการหนัก 34 ราย พร้อมประสานส่งต่อผู้ป่วยดูแลต่อเนื่อง จีนส่งยา-เวชภัณฑ์-บัวหิมะ ช่วยเหลือ

วันนี้(5 ม.ค.) นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงความคืบหน้าการให้ความช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ไฟไหม้ซานติก้า ผับ ว่า ขณะนี้มีผู้เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย คือชื่อ นายเคอิชิ วาดะ (Mr.Keiichi Wada) ชาวญี่ปุ่นอายุ 25 ปี ที่ รพ.จุฬาฯ และ นายมีศักดิ์ แก้วละเอียด ชาวพัทลุง ที่ รพ.คามิลเลียน ตั้งแต่เมื่อคืนวันที่ 4 มกราคม รวมแล้วมียอดผู้เสียชีวิตทั้งหมด 64 ราย เหลือผู้บาดเจ็บที่ยังนอนรักษาตัว 67 ราย รักษาตัวในโรงพยาบาล 32 แห่งเป็นโรงพยาบาลภาครัฐ 12 แห่ง ที่เหลือเป็นรพ.เอกชน โดยผู้บาดเจ็บเป็นชาย 33 ราย หญิง 34 ราย ในจำนวนนี้อาการหนักอยู่ในห้องไอซียู 34 ราย ส่วนชาวต่างชาติที่นอนรักษาตัวมีทั้งหมด 15 ราย ในจำนวนนี้อยู่ในไอซียู 11 ราย

นายวิทยา กล่าวต่อว่า สำหรับการให้ความช่วยเหลือในการรักษาพยาบาล ซึ่งขณะนี้เป็นวันที่ 5 หลังเกิดเหตุ ในส่วนของคนไทย กระทรวงสาธารณสุขได้ทำการตรวจสอบสิทธิผู้บาดเจ็บทุกราย ในรายที่ไม่มีสิทธิใด ๆ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติพร้อมจะดูแลช่วยเหลือค่ารักษาพยาบาล ขณะเดียวกันหากอาการปลอดภัยจะประสานการส่งผู้บาดเจ็บเข้ารักษาต่อในโรงพยาบาลตามสิทธิที่อยู่ใกล้บ้าน เพื่อสะดวกแก่ญาติในการดูแล และโรงพยาบาลในสังกัดที่อยู่ในภูมิภาคมีศักยภาพพร้อมให้การดูแลผู้บาดเจ็บไฟไหม้ได้เป็นอย่างดี

"ในส่วนของชาวต่างชาติ ซึ่งขณะนี้ประมาณร้อยละ 90 รักษาตัวในโรงพยาบาลเอกชน โดยสธ.จะพยายามหาช่องทางในการช่วยเหลือตามความเหมาะสม หากย้ายเข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ทั้งในกทม.และภูมิภาค ก็จะสามารถช่วยเหลือได้อย่างเต็มที่" นายวิทยากล่าว

นพ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา กล่าวว่า ในส่วนของยาและเวชภัณฑ์ที่ทางประเทศจีนจะส่งให้การช่วยเหลือไทย 5 รายการ ได้แก่ 1.ยาปฏิชีวนะ 2.สารน้ำให้ทางหลอดเลือด 3. เวชภัณฑ์ทำแผล 4. ยาแก้ปวด 5.ยาแผนจีนที่ใช้รักษาแผลไฟไหม้ระดับ 2 และ 3 เช่น บัวหิมะ จิงว่านหง ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างแพทย์ไทยและแพทย์จีน และการรักษาจะต้องอยู่ในดุลยพินิจของแพทย์เจ้าของไข้ โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) จะอำนวยความสะดวกเรื่องการนำเข้า โดยจะให้ผ่านทางช่องทางผู้โดยสารขาเข้าตามปกติที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงาน

ด้าน รศ.นพ.รัฐพลี ภาคอรรถ ผู้ช่วยผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ด้านผู้ป่วยวิกฤติ แพทย์ผู้ดูแลอาการ นายเคอิชิ (Keiichi Wada) อายุ 25 ปี ชาวญี่ปุ่น ที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ดังกล่าว กล่าวว่า นายเคอิชิ ได้เสียชีวิตเมื่อเวลา 21.05 น. ของคืนวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมา ด้วยอาการอวัยวะภายในล้มเหลวทุกระบบ ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว

ซึ่งนายเคอิชิ มีระบบภายในที่ไม่ปกติตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับการรักษา แม้ทางการรักษาจะให้ความช่วยเหลือในด้านยาต่าง ๆ เครื่องอุปกรณ์ช่วย ทั้งการขับสารพิษ การหายใจ อาการก็ไม่ดีขึ้น ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นและญาติของนายเคอิชิ ที่มาเฝ้าไข้ทุกวันก็รับทราบ และเข้าใจในการเสียชีวิตดังกล่าว และขอบคุณคณะแพทย์ของโรงพยาบาลที่ได้ให้การดูแลอย่างเต็มที่

ที่มา http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9520000000080

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left>6 วันปีใหม่วัวคลั่งไม่เลิก 335 ราย เชียงรายนำ 21 ศพ!</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ทีมข่าวอาชญากรรม</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>5 มกราคม 2552 12:28 น</TD></TR></TBODY></TABLE>

​

วัวบ้าไม่เลิก 7 วันอันตราย วันที่ 6 ยอดตายแล้ว 335 ราย บาดเจ็บเกือบ 4 พันคน เชียงรายยังแรงไม่เลิก ครองแชมป์ตาย 21 ศพ เมาสุราแล้วขับยังฮิตไม่เลิก

วันนี้ (5 ม.ค.) ศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน ช่วงเทศกาลปีใหม่ 2552 แถลงตัวเลขอุบัติเหตุในช่วง 7 วันอันตราย ซึ่งวันนี้นับเป็นวันที่ 6 มียอดผู้เสียชีวิตรวม 335 ราย บาดเจ็บ 3,810 และมีอุบัติเหตุสะสมเกิดขึ้น 3,549 ครั้ง ขณะเดียวกัน จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงที่สุดยังคงเป็นจังหวัดเชียงราย มีจำนวน 21 ราย รองลงมาคือ จังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดนครสวรรค์ จังหวัดละ 13 ราย

ขณะที่จังหวัดที่ยังไม่มีผู้บาดเจ็บตลอด 6 วัน ที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดยโสธร สำหรับสาเหตุการเสียชีวิตยังคงเป็นเมาสุราและขับรถเร็ว อย่างไรก็ตาม การสรุปยอดอุบัติเหตุและจำนวนผู้เสียชีวิตยังเหลือวันพรุ่งนี้อีก 1 วัน ซึ่งจะเป็นวันสิ้นสุด

ที่มา http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.aspx?NewsID=9520000000099

 

ทหารอิสราเอลรุกคืบใจกลางฉนวนกาซา ส่วนยอดผู้เสียชีวิตพุ่งแตะ 512 คน

​

กาซาซิตี 5 ม.ค. – ทหารอิสราเอลหลายหมื่นนายพร้อมด้วยรถถังรุกคืบสู้รบกับกลุ่มฮามาสในเขตใจกลางฉนวนกาซา เมื่อวานนี้ ขณะที่ยอดผู้เสียชีวิตจากเหตุรุนแรงครั้งนี้พุ่งแตะ 512 คนแล้ว

กองทัพอิสราเอลพร้อมรถถังเคลื่อนพลเข้าปิดล้อมกาซาซิตี ใจกลางฉนวนกาซา และมีการสู้รบในเขตรอบนอก และทางเหนือของฉนวนกาซา ขณะที่ประชาชนจำนวนมากพากันละทิ้งบ้านเรือน บ้างก็หลบอยู่ในห้องใต้ดินในคืนที่ 2 ของการสู้รบ ขณะที่กลุ่มฮามาสตอบโต้กลับด้วยปืน ค. และระเบิดตามข้างทางที่กองทัพอิสราเอลเคลื่อนพลผ่าน

เจ้าหน้าที่การแพทย์ในฉนวนกาซาเผยว่า มีชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 63 คน เสียชีวิตจากกระสุนปืนใหญ่รถถังหรือจรวดจากเครื่องบินรบ นับแต่อิสราเอลเริ่มปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ทำให้ยอดรวมผู้เสียชีวิตทั้งหมดพุ่งแตะ 512 คนแล้ว ในจำนวนนั้นมีเด็กรวมอยู่ด้วย 87 คน ขณะที่อิสราเอล ระบุว่า มีทหาร 1 นายเสียชีวิตจากปืน ค. ส่วนอีกราว 30 คนได้รับบาดเจ็บ

ด้านรัฐบาลอิสราเอลไม่สนใจแรงกดดันจากประชาคมโลกต่อปฏิการทางทหารครั้งใหญ่ที่สุดนับแต่ทำสงครามกับเลบานอนเมื่อปี 2549 เพราะมีสหรัฐคอยให้การสนับสนุน โดยนายกรัฐมนตรีเอฮุด โอลเมิร์ต ปฏิเสธยุติการโจมตีระหว่างสนทนาทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี ของฝรั่งเศส และประธานาธิบดีดมิทรี เมดเวเดฟ ของรัสเซีย รวมทั้งผู้นำต่างชาติคนอื่น ๆ. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 09:06:40

แพทย์ในกาซาระบุ เห็นคนเจ็บนอนเกลื่อนไปทั่วพื้นที่ ​

​

กาซา ซิตี 5 ม.ค.- แพทย์ชาวนอร์เวย์ซึ่งอาสาไปรักษาคนเจ็บในโรงพยาบาลที่กาซา ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ยืนยันว่า โรงพยาบาลในกาซาขณะนี้ เต็มไปด้วยคนเจ็บนอนเกลื่อน หลังอิสราเอลใช้ปฏิบัติการทางอากาศโจมตีกาซาล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 2

ดร.อีริค ฟอสส์ แพทย์ชาวนอร์เวย์คนดังกล่าว ยืนยันว่า ชาวปาเลสไตน์ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุสู้รบครั้งนี้มีสูงถึง 2,600 คน ส่วนใหญ่เป็นพลเรือน และหลายรายเป็นเด็กที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 500 คน ปรากฏว่า เป็นเด็กสูงถึงร้อยละ 20

ดร.ฟอสส์ บอกว่าจำนวนผู้บาดเจ็บมีเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา จำนวนผู้บาดเจ็บได้พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว สูงขึ้นกว่าเดิมถึง 3 เท่า หลังอิสราเอลสั่งให้กองกำลังภาคพื้นดินบุกกาซาเมื่อคืนวันเสาร์ และเนื่องจากโรงพยาบาลในกาซา มีอุปกรณ์การรักษาและเจ้าหน้าที่ไม่พอเพียง จึงทำให้คนเจ็บหลายรายทนพิษบาดแผลไม่ไหว เสียชีวิตในที่สุด

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จิตแพทย์ซึ่งดำเนินโครงการสุขภาพจิตในกาซา ยืนยันว่า ถ้าการสู้รบยังดำเนินต่อไป อาจส่งผลให้กาซาเกิดหายนะภัยด้านมนุษยธรรมครั้งรุนแรง ส่วนตามแนวพรมแดนที่เชื่อมระหว่างกาซากับอียิปต์ รถบรรทุกสิ่งของช่วยเหลือและเวชภัณฑ์เกือบ 25 คัน ยังไม่สามารถข้ามแดนเข้าไปช่วยเหลือได้ เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทางฝั่งของปาเลสไตน์ได้ละทิ้งด่านตรวจดังกล่าว จึงไม่มีใครเปิดประตูด่านให้รถบรรทุกเหล่านี้ได้เข้าไปช่วยเหลือ. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 11:30:06

อิหร่าน-อียิปต์ประณามอิสราเอล​

​

เตหะราน 4 ม.ค.- ประธานรัฐสภาอิหร่านระบุว่า กาซาจะเป็นหลุมฝังศพของอิสราเอล ขณะที่อียิปต์ประณามอิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินและขอให้ยุติการรุกรานปาเลสไตน์

สำนักข่าวเมห์รรายงานอ้างคำกล่าวของนายอาลี ลาริจานี ประธานรัฐสภาอิหร่าน ที่กล่าวต่อรัฐสภาว่า ไซออนนิสต์หรือกลุ่มสนับสนุนให้ชาวยิวอพยพเข้าไปอยู่ในดินแดนปาเลสไตน์ ควรรู้ไว้ว่ากาซาจะเป็นหลุมฝังศพของพวกเขา ด้านสมาชิกรัฐสภาพากันตะโกนสาปแช่งอิสราเอลและไซออนนิสต์

ส่วนที่อียิปต์ ทำเนียบประธานาธิบดีออกแถลงการณ์ประณามอิสราเอลที่ใช้ปฏิบัติการภาคพื้นดินรุกรานดินแดนปาเลสไตน์ ทำให้พลเรือนผู้บริสุทธิ์ต้องล้มตายและบาดเจ็บ อียิปต์ขอเรียกร้องอีกครั้งให้อิสราเอลยุติการรุกรานโดยทันทีและไม่มีเงื่อนไข ขณะที่คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ และกลุ่มผู้ไกล่เกลี่ยสันติภาพตะวันออกกลาง 4 ฝ่าย จะต้องเร่งปฏิบัติตามพันธกิจโดยเร็วเพื่อยุติการรุกรานของอิสราเอลและพร้อมรับมือผลกระทบด้านมนุษยธรรมอันเกิดจากการรุกราน รวมทั้งต้องบังคับให้อิสราเอลรับผิดชอบในฐานะผู้รุกรานด้วย

ด้านสำนักข่าวเมนาของทางการอียิปต์ อ้างคำกล่าวของนายอาเหม็ด อาบูล เกอิต รัฐมนตรีต่างประเทศอียิปต์ว่า การที่คณะมนตรีความมั่นคงฯ ไม่สามารถตกลงกันได้เรื่องมติเรียกร้องให้อิสราเอลหยุดยิงทันที ทำให้อิสราเอลมองว่าเป็นการอนุญาตให้ขยายการโจมตีให้หนักขึ้น

อิสราเอลเปิดฉากปฏิบัติการภาคพื้นดินเข้าไปในฉนวนกาซาเมื่อวันเสาร์หลังจากโจมตีทางอากาศมาติดต่อกัน 8 วัน ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไม่ต่ำกว่า 440 คน สหประชาชาติระบุว่า ในจำนวนนี้ 1 ใน 4 เป็นพลเรือน.- สำนักข่าวไทย

2009-01-04 16:42:01

เกิดแผ่นดินไหว 6 ริกเตอร์ในอัฟกานิสถานและปากีสถาน​

​

คาบูล 5 ม.ค. – สำนักสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ รายงานว่า เกิดแผ่นดินไหวรุนแรงขนาด 6 ริกเตอร์ทางตะวันออกเฉียงเหนือของอัฟกานิสถานและปากีสถาน เมื่อช่วงเช้ามืดวันนี้ ทำให้ประชาชนแตกตื่นวิ่งหนีออกจากบ้านเรือน แต่ยังไม่มีรายงานความเสียหาย

แผ่นดินไหวเกิดเมื่อเวลา 03.43 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือตรงกับเวลา 06.13 น.ในไทยห่างจากกรุงคาบูล นครหลวงของอัฟกานิสถานไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 275 กม. และใกล้กับพรมแดนติดกับปากีสถาน ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ในเทือกเขาฮินดู กูช อยู่ลึกลงไป 190 กม. แรงสั่นสะเทือนรู้สึกได้ไกลถึงกรุงอิสลามาบัด นครหลวงของปากีสถาน ส่งผลให้ประชาชนแตกตื่นพากันวิ่งออกจากที่พักอาศัยเพราะเกรงว่าบ้านเรือนจะพังถล่มลงมา อย่างไรก็ดี ยังไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บ ผู้เสียชีวิต หรือความเสียหาย

พื้นที่ภาคเหนือของอัฟกานิสถานและปากีสถานมักเกิดแผ่นดินไหวบ่อยครั้ง โดยเฉพาะบริเวณ รอบเทือกเขาฮินดู กูช ซึ่งเป็นบริเวณที่แผ่นเปลือกโลกยูเรเชียและอินเดียมาชนกัน แผ่นดินไหวครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อวานนี้มีขนาด 5.9 ริกเตอร์. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 08:52:34

อินเดียหนาวตาย 34 คน ​

​

อินเดีย 5 ม.ค. - ที่อินเดีย ยอดผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นและหมอกลงจัดในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ เพิ่มขึ้นเป็น 34 คนแล้ว

มีรายงานผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 20 คน ในหลายพื้นที่ทางภาคเหนือของประเทศ ภายหลังอุณหภูมิในช่วง 2 คืนที่ผ่านมา ลดต่ำลงเหลือเพียง 4 องศาเซลเซียส ขณะที่ก่อนหน้านี้ พื้นที่ดังกล่าวมักไม่ค่อยเผชิญสภาพอากาศหนาวจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน ส่งผลให้นับตั้งแต่วันปีใหม่ที่ผ่านมา มีผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศหนาวเย็นในอินเดียเพิ่มขึ้นเป็นอย่างน้อย 34 คนแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนยากจนและไร้บ้านที่ต้องนอนหลับในช่วงกลางคืนท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น ส่วนที่กรุงนิวเดลีก็มีอากาศหนาวเย็นเช่นกัน การเดินทางทางอากาศและรถไฟเป็นไปด้วยความยากลำบากจากสภาพหมอกที่ลงจัด. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 02:14:48

โรมาเนียหนาวเหน็บลบ 30 องศา​

​

โรมาเนีย 5 ม.ค. - อุณหภูมิในโรมาเนียลดลงมาเหลือลบ 30 องศาเซลเซียส ถือเป็นอุณหภูมิต่ำที่สุดในฤดูหนาวปีนี้ของประเทศ

เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมา อุณหภูมิในแคว้นทรานซิลเวเนีย ห่างจากกรุงบูคาเรสต์ราว 200 กิโลเมตร ลดลงมาเหลือลบ 30 องศาเซลเซียส และมีหิมะตกลงมาอย่างหนัก ชาวบ้านหลายคนบอกว่า ไม่เคยพบเห็นอากาศที่หนาวเย็นแบบนี้มาก่อน หลายคนรู้สึกหนาวจนนอนไม่หลับ และอากาศเย็นจัดจนไม่สามารถจุดไฟในเตาผิงเพื่อให้ความอบอุ่นได้ คาดว่าพื้นที่ดังกล่าวจะหนาวเย็นไปอีกหลายวัน สำหรับแคว้นทรานซิลเวเนียเคยมีอากาศหนาวเย็นที่สุดที่ลบ 39 องศาเซลเซียส เมื่อปี 2548 ส่วนอากาศที่หนาวเย็นที่สุดของโรมาเนียที่เคยได้รับการบันทึกไว้ เกิดขึ้นเมื่อ 50 ปีก่อน โดยมีอุณหภูมิต่ำถึงติดลบ 42 องศาเซลเซียส. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 02:14:14

เกิดน้ำท่วมภาคกลางและภาคเหนือของมาเลเซีย

​

กัวลาลัมเปอร์ 5 ม.ค.- สำนักข่าวเบอร์นามาของทางการมาเลเซียรายงานว่า เกิดน้ำท่วมในพื้นที่ภาคกลางและภาคเหนือของมาเลเซีย ส่งผลให้ต้องอพยพประชาชนกว่า 5,000 คน และนักเรียนหลายหมื่นคนไม่ได้ไปโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก

รายงานระบุว่า รัฐปาหังได้รับผลกระทบหนักที่สุด โดยมีประชาชนต้องอพยพออกจากบ้านเรือนถึง 3,776 คน แม้ว่าระดับน้ำเริ่มลดลงแล้วในบางพื้นที่ ส่วนที่รัฐกลันตัน ทางตอนเหนือ มีประชาชนไร้ที่อยู่อาศัย 783 คน ถนนสำคัญหลายสายเจิ่งนองไปด้วยน้ำและต้องปิดการจราจร ทำให้เด็กนักเรียนถึง 30,000 คน ไม่สามารถเดินทางไปโรงเรียนได้ในวันเปิดภาคเรียนวันแรก สำนักงานการศึกษาในรัฐกลันตันได้สั่งปิดโรงเรียนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนที่รัฐตรังกานู มีผู้ไร้ที่อยู่อาศัย 445 คน ต้องไปอาศัยยังที่พักชั่วคราว. -สำนักข่าวไทย

2009-01-05 11:32:16

ที่มา http://news.mcot.net

 

<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD background=images/corner_line_left.gif></TD><TD vAlign=top align=left width="100%" bgColor=#ffffff><TABLE cellSpacing=2 cellPadding=2 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left><!--เนื้อหา--><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><!--Middle--><TD vAlign=top align=left bgColor=#ffffff>จำนวนคนอ่านล่าสุด 937 คน <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD><TD vAlign=top align=left>[FONT=Tahoma,]วันที่ 05 มกราคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 18 ฉบับที่ 6612 ข่าวสดรายวัน


ยิวส่งรถถัง-ทหารนับหมื่นบุก"กาซ่า!"



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
ประท้วงยิว - ชาวมุสลิมและประชาชนในนครซิดนีย์ ออสเตรเลีย แบกโลงศพประท้วงต่อต้านรัฐบาลอิสราเอลทำสงครามถล่มเขตฉนวนกาซ่าเพื่อทำลายที่มั่นกองกำลังติดอาวุธฮามาส แต่ทำให้ชาวบ้านปาเลสไตน์ในพื้นที่เสียชีวิตไปแล้วกว่า 400 ราย บาดเจ็บนับพัน เมื่อ 4 ม.ค. (เอพี)

</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อ 4 ม.ค. สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กองทัพอิสราเอลเริ่มต้นปฏิบัติการโจมตีภาคพื้นดินส่งทหารชุดแรก 10,000 นาย รถถังอีกร้อยกว่าคัน บุกเข้าพื้นที่ตอนเหนือในเขตฉนวนกาซ่า ขณะที่ขบวนการกู้ชาติ "ฮามาส" ของปาเลสไตน์ประกาศสงครามสู้ตายจนหมดลมหายใจสุดท้าย

อิสราเอลโจมตีทางอากาศถล่มเป้าหมายต่างๆ ในฉนวนกาซ่า เขตปกครองชาวปาเลสไตน์ต่อเนื่องเข้าสู่วันที่ 8 ซึ่งนายเอฮุด บารัก รัฐมนตรีกลาโหมอิสราเอล แถลงว่า ตัดสินใจส่งทหารและรถถังเข้าไปทำลายที่มั่น รวมถึงฐานอาวุธของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซ่า เพื่อหยุดยั้งไม่ให้ยิงจรวดข้ามฟากมาสังหารชาวยิวอิสราเอลอีกต่อไป

นายบารัก กล่าวว่า สงครามไม่ได้สร้างความสุขใจ แต่จำเป็นต้องทำ เพราะจะปล่อยให้พลเมืองอิสราเอลทางภาคใต้ตกเป็นเป้าจรวดฮามาสต่อไปเรื่อยๆ ไม่ได้ ตนตระหนักดีถึงความเสี่ยงจากการต่อสู้ว่าไม่ใช่เรื่องง่ายและคงไม่จบลงในเวลาอันสั้น

นายอิสมาอิล รัดวัน โฆษกกลุ่มฮามาส แถลงผ่านโทรทัศน์อัล-อักซา ว่า การรบที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่การปิกนิกของอิสราเอล เพราะฉนวนกาซ่าคือสุสานยิว อิสราเอลไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากยุติการรุกราน ถ้าคนปาเลสไตน์ไม่มีสันติสุข คนยิวก็จะไม่มีเช่นกัน ท้ายที่สุดนักรบมุจาฮิ

ดีนผู้พิทักษ์ศาสนาอิสลามจะชนะสงครามครั้งนี้ และปาเลสไตน์จะสู้จนสิ้นลมหายใจสุดท้าย

"อิสราเอลรุกรานชาวปาเลสไตน์มาโดยตลอด ศัตรูชาวยิวทำลายสถานศึกษา มัสยิด ผู้คน และทุกสิ่งทุกอย่างในฉนวนกาซ่า จะมีอาชญากรรมใดเลวร้ายไปกว่านี้อีกหรือ และยังปรากฏขึ้นต่อสายตาพี่น้องโลกอาหรับและมุสลิม" นายอิสมาอิล กล่าว

ด้านนายบัน คี-มุน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ร้องขอให้อิสราเอลยุติการบุกฉนวนกาซ่าแต่ไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ส่วนนายกิดาลา เอตัลฮี เอกอัครราชทูตลิเบียประจำยูเอ็น ในฐานะชาติอาหรับ 1 เดียวในคณะมนตรีความมั่นคงยูเอ็น เรียกประชุมฉุกเฉินเพื่อให้คณะมนตรีฯ ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องให้อิสราเอลและผู้นำฮามาสหยุดยิงทันที อย่างไรก็ตาม ความพยายามของนายกิดาลากลับไร้ผลเพราะนายอเลฮันโดร โวลฟ์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ชาติสมาชิกถาวรคณะมนตรีฯ ขัดขวางไม่ให้มีการออกแถลงการณ์ดังกล่าวตามคาด เพราะรัฐบาลสหรัฐเป็นพันธมิตรสำคัญของรัฐบาลอิสราเอล

วันเดียวกัน ชาวมุสลิมหลายพันคนเดินขบวนประท้วงไปตามท้องถนนทั่วกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงอินโดนีเซีย ประณามการกระทำของอิสราเอลที่ใช้กำลังโจมตีฉนวนกาซ่า จนทำให้ผู้บริสุทธิ์ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตไปแล้ว 460 คน บาดเจ็บเกือบ 3,000 คน พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลส่งทหารไปช่วยปาเลสไตน์รบ[/FONT]

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]
</TD></TR></TBODY></TABLE>ดินไหวทะเลอินโดฯ-ยุ่นเจอสึนามิจิ๋ว



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>เอพีรายงานว่า เมื่อวันที่ 4 ม.ค. เกิดแผ่นดินไหวใน 3 ประเทศ โดยอินโดนีเซียวัดแรงสั่นสะเทือนมากที่สุด ทั้งยังเกิดใต้พื้นทะเล ทำให้ต้องประกาศเตือนภัยสึนามิ และมีสึนามิขนาดจิ๋วซัดเข้าฝั่งญี่ปุ่น

สำนักงานอุตุนิยมวิทยาอินโดนีเซียแถลงว่า เมื่อเวลา 02.43 น. วันที่ 4 ม.ค. เกิดเหตุแผ่นดินไหวใต้ทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก วัดแรงสั่นสะเทือนได้ 7.2 ริกเตอร์ ห่างจากชายฝั่งเมืองมาโนควารี จังหวัดปาปัว ประมาณ 136 กิโลเมตร ทำให้ต้องประกาศเตือนภัยสึนามิซัดเข้าฝั่ง ขณะที่สำนักงานธรณีวิทยา สหรัฐอเมริกา ระบุว่า แรงสั่นสะเทือนดังกล่าวสูงถึง 7.6 ริกเตอร์ ศูนย์กลางแผ่นดินไหวอยู่ลึกลงไปใต้ทะเล 35 กิโลเมตร

สำหรับผลกระทบจากเหตุแผ่นดินไหว ที่เมืองมาโนควารีไฟฟ้าดับหลายจุดและมีโรงแรมแห่งหนึ่งพังถล่ม มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ส่วนผู้บาดเจ็บยังไม่ทราบจำนวนแน่ชัด เพราะบ้านเรือนประชาชนเสียหายในวงกว้าง นอกจากนั้น ยังมีคลื่นสั่นสะเทือนหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ หรือ "อาฟเตอร์ช็อก" ระดับรุนแรงไม่แพ้กันเกิดตามมาอีกหลายครั้ง

ด้านสำนักงานอุตุนิยมวิทยา ประเทศญี่ปุ่น แถลงว่า ตรวจพบคลื่นสึนามิขนาดเล็กความสูง 40 เซนติเมตร หลังเกิดแผ่นดินไหวในอินโดนีเซีย โดยสึนามิจิ๋วดังกล่าวพัดเข้าสู่ชายฝั่งทิศตะวันออกเฉียงใต้ แต่ไม่มีเหตุร้ายแรงใดๆ และทั้งอินโดนีเซียกับญี่ปุ่นยกเลิกประกาศเตือนภัยสึนามิแล้ว

วันเดียวกัน สำนักงานธรณีวิทยาสหรัฐแจ้งด้วยว่า ช่วงเช้ามืดที่ผ่านมาเกิดแผ่นดินไหวระดับปานกลาง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศอัฟกานิสถาน ติดกับพรมแดนประเทศปากีสถาน จุดศูนย์กลางอยู่ในเขตเทือกเขาฮินดูกูช ลึกลงไปใต้พื้นดิน 220 กิโลเมตร ซึ่งบริเวณนี้มักเกิดแผ่นดินไหวเป็นประจำ เช่นเดียวกับอินโดนีเซียที่มีสภาพภูมิศาสตร์ตั้งอยู่ในจุดเสี่ยงเกิดแผ่นดินไหวเนื่องจากอยู่บนรอยแยกของเปลือกโลกและแนวภูเขาไฟ หรือที่เรียกว่าเขต "วงแหวนแห่งไฟ" โศกนาฏกรรมร้ายแรงที่สุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2547 หลังเหตุแผ่นดินไหวนอกชายฝั่งสุมาตรา เป็นชนวนก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สึนามิคร่าชีวิตผู้คนไปกว่า 200,000 ราย

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]
มาเลย์หนีน้ำท่วม



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
หนีน้ำ- ชาวมาเลเซียในรัฐตรังกานูขึ้นเรือออกจากพื้นที่หลังพายุฝนตกหนักติดต่อกันหลายวัน เกิดน้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือและภาคกลาง มีประชาชนเดือดร้อนทั้งต้องอพยพและทำมาหากินไม่ได้หลายหมื่นคน เมื่อ 4 ม.ค.

</TD></TR></TBODY></TABLE>เมื่อ 4 ม.ค. เอเอฟพีรายงานว่า พายุฝนพัดกระหน่ำตลอดหลายวันที่ผ่านมา ทำให้เกิดภัยธรรมชาติน้ำท่วมใหญ่ทางภาคเหนือและภาคกลางของประเทศมาเลเซีย ทางการต้องเร่งอพยพประชาชนในรัฐปะหังกว่า 2,500 คนออกจากพื้นที่ประสบภัยไปอยู่ตามศูนย์พักพิงชั่วคราว 26 แห่ง ส่วนชาวบ้านในรัฐตรังกานูเกือบ 500 คนต้องละทิ้งบ้านเรือนเช่นกัน และยังเกิดเหตุดินถล่ม 2 จุดในเขตคาเมรอนไฮแลนด์ แหล่งปลูกชาและจุดท่องเที่ยวชื่อดัง

[FONT=Tahoma,]หน้า 7[/FONT]

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>วันที่ 01 มกราคม พ.ศ. 2552 เวลา 23:37 น. ข่าวสดออนไลน์


คลิปเหตุเพลิงไหม้ "ซานติก้าผับ"

<EMBED src=http://www.youtube.com/v/E-d7iaM28BE&hl=en&fs=1 width=480 height=295 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

คลิปเหตุเพลิงไหม้ ′ซานติก้าผับ′ วันที่ 1 มกราคม พ.ศ.2552
โพสต์โดย msethisuwan สมาชิกเว็บไซต์ ยูทูบ


ครอบครัวลูกดก คลอดเบบี้คนที่18!



ครอบครัวของจิม บ็อบ และมิเชล ดักการ์ ชาวเมืองทอนทีทาวน์ รัฐอาร์คันซอ สหรัฐอเมริกา เพิ่งต้อนรับสมาชิกครอบครัวคนใหม่ คือลูกคนที่ 18!

เด็กหญิงจอร์ดีน-เกรซ มาคิยา ดักการ์ เกิดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับครอบครัวพอดี ซึ่งพี่ของเด็กหญิงเรียงตามลำดับมี นายโจชัว อายุ 20 ปี น.ส.จาน่า อายุ 18 ปี นายจอห์น-เดวิด อายุ 18 ปี น.ส.จิล อายุ 17 ปี น.ส.เจสซ่า อายุ 16 ปี เด็กหญิงจิงเจอร์ อายุ 14 ปี เด็กชายโจ <TABLE style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px dotted; BORDER-TOP: #ffffff 1px dotted; BORDER-LEFT: #ffffff 1px dotted; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px dotted" cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=1><TBODY><TR bgColor=#ffe9ff><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>ชัว อายุ 13 ปี เด็กชายโจไซอาห์ อายุ 12 ปี เด็กหญิงจอย-แอนนา อายุ 11 ปี เด็กชายเจเรเมียห์ อายุ 9 ปี เด็กชายเจดิเดียห์ อายุ 9 ปี เด็กชายเจสัน อายุ 8 ปี เด็กชายเจมส์ อายุ 7 ปี เด็กชายจัสติน อายุ 6 ปี เด็กชายแจ๊กสัน อายุ 4 ปี เด็กหญิงโจแอนนาห์ อายุ 3 ปี และเด็กหญิงเจนนิเฟอร์ อายุ 1 ปี รวมพี่ชาย 10 คน พี่สาว 7 คน

แม้จะมีลูกดกอย่างนี้ แต่ครอบครัวดักการ์ก็อยากจะมีลูกอีก

พบกับครอบครัวดักการ์
<EMBED src=http://www.youtube.com/v/Fj1Lb6wO5T0&hl=en&fs=1 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>
<EMBED src=http://www.youtube.com/v/zvRVA8GiL08&hl=en&fs=1 width=425 height=344 type=application/x-shockwave-flash allowscriptaccess="always" allowfullscreen="true"></EMBED>

[FONT=Tahoma,]หน้า 28[/FONT]
สมองคนอายุ2,000ปี



<TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=left border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>เรเชล คิวบิตต์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยแบรดฟอร์ด ประเทศอังกฤษ พบเนื้อสมองมนุษย์อายุกว่า 2,000 ปี นับเป็นเนื้อสมองมนุษย์ที่อายุมากที่สุดเท่าที่พบในอังกฤษ

เจ้าของสมองนั้นยังไม่ทราบว่าเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ถูกตัดหัวและนำฝังลงดินไม่นานหลังจากเสียชีวิต เป็นไปได้ว่าเขาผู้นี้อาจถูกตัดหัวเพื่อบูชายัญหรือเพื่อทำตามความเชื่อทางศาสนา <TABLE cellSpacing=5 cellPadding=1 width="20%" align=right border=0><TBODY><TR bgColor=#400040><TD>
</TD></TR></TBODY></TABLE>

โดยปกติแล้วเมื่อเราตายเนื้อสมองจะเสื่อมสลายอย่างรวดเร็ว แต่สมองนี้ยังเก็บรักษาอยู่ในสภาพดี

สมองปริศนาน่าจะอยู่ในช่วงยุคเหล็กตอนปลาย ประมาณ 300-1 ปีก่อนคริสตกาล ในช่วงนั้นอังกฤษเป็นเพียงเกาะที่มีหมู่บ้านเล็กๆ สร้างบ้านที่ทำมาจากไม้ โคลน อยู่ในสังคมเกษตรกรรม ปลูกข้าวบาร์เลย์ ข้าวสาลี เลี้ยงหมู แกะ ปศุสัตว์ต่างๆ มีความสามารถในการตีเหล็กเพื่อทำเป็นมีด พลั่ว ตีทองและทองแดงเพื่อนำเป็นเครื่องประดับ ใช้เครื่องทอผ้าขนสัตว์ มีรถม้าและค้าขายกับยุโรปแล้ว

[FONT=Tahoma,]หน้า 28[/FONT]
</TD><TD vAlign=top align=left>




<TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=295 border=0><TBODY><TR><TD width=21 height=21></TD><TD background=images/line_top.gif></TD><TD width=21 height=21></TD></TR><TR><TD background=images/line_left.gif></TD><TD width="100%"><TABLE cellSpacing=3 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=left>

​

</TD></TR></TBODY></TABLE></TD><TD background=images/line_right.gif></TD></TR><TR><TD width=21 height=21></TD><TD background=images/line_bottom.gif></TD><TD width=21 height=21></TD></TR></TBODY></TABLE>
</TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>

 

กาพย์พระไชยสุริยา (สุนทรภู่)

​

"คำกลอนสอนอ่านสำหรับเด็กเล็ก ผูกเป็นเรื่องพระไชยสุริยา ให้คติสอนใจ สอนให้เด็กรู้จักคิดตั้งแต่ยังเยาว์"

ท่านสุนทรภู่แต่งขึ้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๓๘๓ - ๒๓๘๕ ขณะที่บวชเป็นพระอยู่ทีวัดเทพธิดาราม ท่านแต่งเป็นกาพย์ซึ่งแทรกความรู้เกี่ยวกับภาษาไทย ในเรื่องของมาตราตัวสะกดแม่ต่าง ๆ เช่น แม่กก กง กน กด กบ และเกย เป็นต้น นอกจากนั้นยังสอดแทรกคติธรรมต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์อีกด้วย

ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำรัสให้พระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกูร) แต่งตำราภาษาไทยขึ้น ท่านได้นำกาพย์พระไชยสุริยามาแทรกไว้ในหนังสือมูลบท บรรพกิจ ซึ่งเป็นแบบเรียนเล่มแรกในทั้งหมด ๖ เล่ม เเต่งด้วยกาพย์ยานี กาพย์ฉบัง เเละ กาพย์สุรางคนางค์

​

เรื่องย่อ

พระไชยสุริยา เป็นเรื่องราวของพระไชยสุริยากษัตริย์ครองเมืองด้วยความสงบเรียบร้อยมาตลอด จนกระทั่งวันหนึ่ง เกิดเหตุอาเพท เกิดน้ำป่าไหลท่วมบ้านเมือง ผีป่าอาละวาด ทำให้ชาวเมืองล้มตายจำนวนมาก พระไชยสุริยาพร้อมกับนางสุมาลีพระมเหสีและนางกำนัลหนีลงเรือ แต่ก็ถูกพายุพัดจนเรือแตก คลื่นซัดพระไชยสุริยากับพระนางสุมาลีเข้าฝั่ง ทั้งสองต้องเดินทางอยู่กลางป่าจนพบกับฤาษีตนหนึ่ง ฤาษีได้บอกถึงสาเหตุที่ทำให้บ้านเมืองพังพินาศว่า ด้วยข้าราชสำนักทั้งหลายประพฤติชั่ว รับสินบนไม่รักษาความยุติธรรม ฟ้าดินจึงลงโทษให้ได้รับความเดือดร้อน ฤาษีได้แนะนำให้พระไชยสุริยา และพระนางสุมาลีรักษาศีลปฏิบัติธรรม ต่อมาทั้งสองพระองค์ได้ออกบวชและบำเพ็ญธรรมจนสิ้นพระชนม์ชีพ ดังจะคัดมาเป็นตอนมาให้อ่าน ดังต่อไปนี้

​

แม่กก

<TABLE width="95%"><TBODY><TR><TD width="45%">
ขึ้นกกตกทุกข์ยาก
</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">
แสนลำบากจากเวียงไชย
</TD></TR><TR><TD width="45%">มันเผือกเลือกเผาไฟ</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">กินผลไม้ได้เป็นแรง</TD></TR><TR><TD width="45%">รอนรอนอ่อนอัษดงค์</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">พระสุ่ริยงเย็นยอแสง</TD></TR><TR><TD width="45%">ช่วงดังน้ำครั่งแดง</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">แฝงเมฆเขาเงาเมรุธร</TD></TR><TR><TD width="45%">ลิงค่างครางไครกครอก</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">ฝูงจิ้งจอกออกเห่าหอน</TD></TR><TR><TD width="45%">ชะนีวิเวกวอน</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">นกหกร่อนนอนรังเรียง</TD></TR><TR><TD width="45%">ลูกนกยกปีกป้อง</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">อ้าปากร้องซ้องแซ่เสียง</TD></TR><TR><TD width="45%">แม่นกปกปีกเคียง</TD><TD width="10%"></TD><TD width="45%">เลี้ยงลูกอ่อนป้อนอาหาร</TD></TR></TBODY></TABLE>
ที่มา http://www.st.ac.th

 

ไอซีทีแถลงปิดเว็บไซต์หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไปแล้ว 2,000 เว็บไซต์

​

<TABLE class=news2006_topic cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD class=news2006_graylight height=10>โดย สำนักข่าวไทย อ.ส.ม.ท.<SCRIPT language=JavaScript src="/global_js/global_function.js"></SCRIPT> <!--START-->วัน จันทร์ ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2552 17:18 น.</TD></TR></TBODY></TABLE>
<TABLE class=news2006_black cellSpacing=0 cellPadding=0 width=595 border=0><TBODY><TR><TD width=575>ร.ต.หญิง ระนองรักษ์ สุวรรณฉวี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ขณะนี้กระทรวงไอซีทีได้ปิดเว็บไซต์หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ไปแล้วกว่า 2,000 เว็บไซต์ และยังประกาศจะเดินหน้าปราบปรามอย่างเข้มข้นกว่าเดิม เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลที่ได้แถลงไว้ว่า จะปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยหลังจากนี้จะเพิ่มอำนาจให้แก่เจ้าหน้าที่กระทรวงไอซีที ด้วยการผลักดันกฎหมายเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรโดยเร็ว เพื่อให้ผู้กระทำผิดได้รับบทลงโทษจำคุก นอกเหนือจากการปรับและปิดเว็บไซต์ ขณะเดียวกันจะเร่งสร้างจิตสำนึกแก่เยาวชนไทยให้รู้ว่าการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและผิดกฎหมาย

นอกจากนี้ ยังเตรียมเดินสายตรวจเยี่ยมหน่วยงานในสังกัด ส่วนปัญหาที่รัฐวิสาหกิจหลายแห่งมีผลประกอบการลดลง ส่งผลต่อรายได้เข้ารัฐน้อยลง จะเรียกดูข้อมูลว่าผลประกอบการส่วนใดที่ลดลง และจะเร่งแก้ไขเพื่อเพิ่มรายได้ ขณะที่คณะกรรมการแต่ละรัฐวิสาหกิจ ขณะนี้ยังให้ดำเนินงานไปตามปกติ<!--END-->
</TD><TD width=10 rowSpan=6></TD></TR><TR><TD></TD></TR></TBODY></TABLE>
ที่มา http://news.sanook.com/technology/technology_334323.php

หมายเหตุ

อ้างอิงคำทำนายของคุณ หนุมาน ผู้นำสาร

"หลากหลายในสังคม บ่ชื่นชมเหนือหัวข้า ขัดแย้งรุนแรงกล้า ก้าวร้าวทั่วมั่วลายงา"

จะเห็นได้ว่าคำทำนายนี้เป็นความจริงมานานแล้ว แต่สังคมไทยยังปล่อยปละละเลยให้กระทำกันเป็นขบวนการ จนมีเว็บไซต์หมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์มากมายอย่างน่าตกใจถึง 2,000 กว่าเว็บไซต์ จนหลวงตามหาบัวท่านต้องออกมาเตือน ให้คนไทยช่วยกันรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยเอาไว้ ขอให้พวกเราชาวเว็บพลังจิตมาช่วยกัน อย่าให้มีใครมาบังอาจดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ของเราอีกเลยครับ<O

 

ข่าวดี...เว็บพลังจิตจะได้ server ใหม่แล้วครับ​

<TABLE class=tborder id=post cellSpacing=0 cellPadding=6 width="100%" align=center border=0><TBODY><TR><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 0px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid"> วันนี้, 12:48 AM <!-- / status icon and date --></TD><TD class=thead style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 1px solid; FONT-WEIGHT: normal; BORDER-LEFT: #ffffff 0px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 1px solid" align=right></TD></TR><TR vAlign=top><TD class=alt2 style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid; BORDER-TOP: #ffffff 0px solid; BORDER-LEFT: #ffffff 1px solid; BORDER-BOTTOM: #ffffff 0px solid" width=175>MBNY<SCRIPT type=text/javascript> vbmenu_register("postmenu_", true); </SCRIPT>
Administrator



วันที่สมัคร: Jul 2003
ข้อความ: 4,393
<IF condition="">
</IF>พลังการให้คะแนน: 50000



</TD><TD class=alt1 id=td_post_ style="BORDER-RIGHT: #ffffff 1px solid"><!-- icon and title --><CENTER>ขออภัย

</CENTER>
<HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1><!-- / icon and title --><!-- message -->ขออภัยเนื่องจาก เมื่อวานนี้มียอดผู้เข้าชมเว็บสูง

5 มกราคม 2009 - UIP:35,966 (เฉลี่ยปกติยอดผู้เข้าชม 25,000 - 27,000)

เมื่อวานนี้เว็บจะอืด เป็นพักๆ ทางDcom แจ้งข่าวมาว่า จะสามารถส่ง server ให้กลับทางบริษัทของไทยที่สั่งไป

ได้ประมาณไม่เกินวันที่ 26 มกราคม 2009 ที่ล่าช้าเค้าบอกว่าเนื่องจากเทศกาล คริสมาสและปีใหม่

หลังจากติดตั้งอภิญญาใหญ่ server นี้แล้ว เว็บจะคล่องตัวสูงขึ้นค่ะ

จึงเรียนมาเพื่อทราบ

</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

3 ก.พ. 52

บ่อน้ำใสกับปืนที่ซื้อไว้

 

2 ต.ค. 51

u.s. แทงค์ รุ่น 2-1

ถ้าจ้าวป่าตัวที่ 1 ตื่น จะใช้เวลาในการปลุกตัวที่ 2 ตื่น เป็นเวลา ประมาณ 9 ปี

เมื่อถึงเวลานั้นท่านที่ทรงความดีทั้งหลาย คงจะไปอยู่พร้อมกันในที่ๆจัดไว้ให้

 

2 ธ.ค. 51

เรือติดล้อ

ได้ข่าวทางใต้เอาเรือติดล้อออกมามาเล่นกันแล้ว

 

หมอนิด ผ่าดวงเมือง​

​

กรุงเทพฯ 4 ม.ค. - อาจารย์กิจจา ทวีกุลกิจ หรือ

 

คำทำนายดวง นายบารัค โอบามา จากหมอดูชาวอินเดีย​

​

นอกจากข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ ที่ทำให้เกิดความหวั่นเกรงว่าอาจเกิดเหตุการณ์ซ้ำรอย(การลอบสังหาร) ในแง่ของโหราศาสตร์เองนั้น ก็จุดความหวาดกลัวในประเด็นนี้เช่นกัน โดยนายราช กุมาร ชาร์มา หมอดูชื่อดังชาวอินเดียจากเมืองมุมไบ ทำนายว่า นายโอบามา จะเป็นผู้คว้าชัยในการเลือกตั้งวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้อย่างขาดลอยถึง 10%

เพราะดูจากปัจจัยแวดล้อม ประกอบกับการโคจรของดวงดาวที่ชี้ชัดว่า นายแมคเคน จะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม หมอดูแดนภารตะรายนี้ยังได้ทิ้งท้าย เกี่ยวกับดวงชะตาของนายโอบามาเอาไว้อย่างน่าสะพรึงกลัวว่า เขาจะมีเคราะห์หนักในช่วงปี 2010-2011 โดยเฉพาะตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน - 16 พฤษภาคม 2010 เนื่องจากดาวอาทิตย์ที่อ่อนกำลังได้เคลื่อนเข้าสู่ราศีของนายโอบามา ซึ่งหมายความว่านายโอบามาอาจมีอันตรายถึงชีวิต และมีโอกาสรอดเพียง 25% เท่านั้น

สำหรับบทสรุปของการเลือกตั้งประธานาธิบดี ยุควิกฤตแฮมเบอร์เกอร์นี้จะออกหัวหรือออกก้อยก็ยังไม่มีผู้ใดทราบได้ บารัค โอบามา จะได้รับการจารึกชื่อในฐานะประธานาธิบดีผิวสี คนแรกของประเทศที่มีประวัติการเหยียดสีผิวรุนแรงแห่งนี้ หรือ จอห์น แมคเคน จะเป็นม้าตีนปลายวิ่งแซงเข้าเส้นชัย พร้อมผงาดครองตำแหน่งประธานาธิบดี อายุมากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองสหรัฐ ...

 

จริงๆผมก้แค่อ่านนะครับ ส่วนการจะเขียนอะไรก็เป็นสิทธิของแต่ละคน

ผมก็เคารพวิจารณะญาณของพี่เกษมนะ ผมแค่บอกว่า หมอนิดทายผิดบ่อย ไม่สมควรเผยแพร่ คำทำนายของแก ก้เท่านั้น

หมอดูเคยทำนายว่าผมจะรวยนะ ตอนนี้ผ่านไป10กว่าปีแล้ว ยังใช้หนี้สินเก่าสมัยปี40ไม่หมดเลย ถ้าผมรวยตอน60 นี่ถือว่าหมอดูทำนายถูกหรือผิดครับ ฝากไว้ให้พิจารณาครับ

 

แต่ผมก็ยังเจออยู่ 5 เวปไซต์ที่เข้าไปแล้วมีแต่กระทู้ด่า... เต็มไปหมด
เข้าใจว่าบางทีกระทรวง ICT คงไม่รู้จัก
น่าจะเปิดช่องทางให้แจ้งบ้างนะครับ