คนที่อยู่ระหว่างทางไปพระนิพพาน นี่แหละที่น่าเป็นห่วงมาก

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย Chayutt, 24 กันยายน 2005.

  1. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    เดิมทีข้อความนี้โพสอยู่ในกระทู้ตื่นภัยพิบัติเกินเหตุนะครับ
    แต่มีผู้แนะนำว่าน่าจะตั้งเป็นกระทู้ใหม่ ผมเลย Copy มาตั้งเป็นกระทู้ใหม่

    ผมสังเกตเห็นหลายคน หลายความคิด รวมถึงตัวผมเองด้วย มักเป็นเช่นนี้

    - ในตอนแรกๆที่ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธรรมะเลย ก็อาจจะวิพากษ์วิจารณ์สนุกปากแบบไม่มีหลักการอะไร
    (อันนั้นก็ปล่อยเขาไป) หรือบางคนอาจจะไม่กล้าวิจารณ์เพราะรู้ตัวว่ายังไม่รู้ดีพอ

    - พอเริ่มศึกษาธรรมะเข้าระดับหนึ่ง หมายถึงอยู่ระหว่างกลางระหว่างทางพระนิพพาน

    -> กลุ่มนี้แหละน่าห่วงที่สุด (รวมทั้งตัวผมเองด้วยครับ) ที่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะ
    มันจะเริ่มมีมากขึ้นๆ ก็จะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นๆ การปฏิบัติสายอื่นๆ สำนักอื่นๆ นิกายอื่นๆ
    ศาสนาอื่นๆ ฯลฯ
    แบบเริ่มมีหลักการของตนเอง

    ตัวอย่างเช่น ตัวผมเองสมัยก่อนจะมองเห็นคนที่เล่นพระเครื่อง
    เล่นเครื่องรางของขลัง
    ว่าช่าง "งมงายเสียเหลือเกิน" ว่าทำไมไม่ใช้สติปัญญาคิดดูให้ดีนะ กำลังถูกหลอกอยู่ยังไม่รู้ตัวอีก

    สิ่งเหล่านั้นมันจะมีจริงไปได้อย่างไร มันพิสูจน์ไม่ได้ ใครๆก็รู้
    ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น มันแค่เป็นไปตามหลักจิตวิทยาเท่านั้นเอง


    คนที่คิดว่าตนเองนั่งเห็นโน่นเห็นนี่ทั้งหลาย ที่แท้มันก็เป็นแค่ภาพลวงตา หรือการสะกดจิตตัวเองเท่านั้นเอง

    และไอ้ที่ว่าขลังนั่น มันก็แค่เกิดจากกำลังใจของผู้ครอบครองเองมากกว่า อะไรทำนองนี้เป็นต้น

    และจะมองว่านิตยสารพวกอิทธิฤทธิ ปาติหารย์ทั้งหมด ว่าเป็นสิ่งตีพิมพิ์อีกเกรดหนึ่ง
    ที่มีความสวยงาม และเนื้อหาสู้หนังสืออื่นๆไม่ได้ แล้วก็พาลนึกดูหมิ่นดูแคลนสำนักบางสำนัก
    ที่สอนธรรมะโดยอิงเรื่องพวกนี้มากๆ
    นึกอยู่แต่ว่าสติปัฏฐาน 4 ของสำนักที่ตัวเองศัทธา นั่นหละจึงจะเป็นของจริง
    จึงจะอิงไปด้วยเหตุ-ด้วยผล จึงจะมีความเป็นวิทยาศาสตร์



    หลังจากนั้น หลายปีต่อมา ทุกวันนี้ผมแทบไม่กล้าใช้คำว่า "ปัญญา" กับตัวเองเลย
    เพราะตราบใดที่เรายังคิด-นึกอยู่ภายใต้อิทธิพล
    ของแรงขับดันของกิเลสอยู่หละก็
    ผมก็ว่าคำว่า "ถูกต้อง" มันก็ยังเชื่อถือไม่ได้อยู่ดีหนะแหละ เพราะใครๆก็มักคิดว่าตนเองถูก

    ตนเองทำดีแล้ว สิ่งที่ตัวเองปฏิบัติอยู่มันคือทางตรง-ทางสายเอกที่สุดแล้ว
    และคิดว่าที่คนอื่นทำนั้นหนะอาจจะไม่ตรงซะทีเดียว
    อะไรทำนองนี้

    ผมรู้สึกว่าโลกทั้งหมดทั้งสิ้น มันกว้างใหญ่มากนัก สิ่งที่เรารู้จัก มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง-เข้าใจ
    และคิดว่าเรารู้จักมันดีแล้ว เสมอไป ความลับมันยังมีอีกมากมายที่ยังซ่อนเร้นอยู่ ต่อให้ค้นหาทั้งชีวิตนี้
    และชีวิตหน้า ผมก็เชื่อว่าเราก็มิอาจรู้จักมันได้หมด เหมือนดังพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ใบไม้เพียงกำมือ"
    เทียบกับใบไม้ทั้งป่าไม่ได้

    แต่สิ่งที่จำเป็นอันดับต้นๆของชีวิตมนุษย์ ที่พระองค์แนะนำให้รู้ก็คือ"ใบไม้เพียงกำมือ" นี่แหละ

    ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วที่จะเอาตัวรอดจากวัฏสงสารนี้ได้

    ดังนั้นโดยนัยนี้ ต่อให้เราพากเพียรจนรู้หมดสิ้นทุกอย่างแห่งการพ้นทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วก็ตาม
    ก็แค่หมายความว่า
    เราแค่รู้เรื่องของใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าเรารู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง

    ดังนั้นเราจึงเห็น หรือ ได้ยิน-ได้ฟังอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการกล่าวทำนองว่า สำนักอื่นๆนั้นพูดผิด คิดผิด ปฏิบัติผิด
    หรือไม่ตรงทาง
    อะไรทำนองนี้ ถ้าตามความคิดของผม ผมเข้าใจว่าบางสำนักที่ว่านั้น ท่านก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
    อาจจะรู้จักใบไม้ในกำมือครบถ้วนแล้วเหมือนกันก็ได้ แต่ท่านอาจจะไปรู้ไปเห็นอะไรที่เป็นใบไม้ใบอื่น
    ที่อยู่นอกกำมือด้วยก็ได้


    ดังนั้น การที่จะไปบอกว่าหรือคิดว่าท่านอวดอุตริมนุษยธรรมนี่ ผมคิดว่าควรพึงระวังให้มากทีเดียว เพราะวิสัยของฌานนั้น

    อย่าลืมว่าวิสัยของฌานก็คือ 1 ใน 4 อจินไตยที่เป็นที่ยากต่อการคิดคำนวณได้

    ดังนั้นผมจึงกล่าวว่าผู้ที่อยู่ระหว่างทางพระนิพพานนี่แหละ น่าห่วงเหลือเกิน

    เราเคยสังเกตกันหรือไม่ว่า สิ่งที่เคยคิดว่ามันใช่ มันก็ไม่ได้ใช่เสมอไป
    สิ่งที่คิดว่ามันจริงแท้ มันก็ไม่ได้จริงแท้เสมอไป


    ดังนั้นผมจึงพยายามทำใจให้เปิดไว้เสมอ พยายามไม่ปฏิเสธอะไรง่ายๆ และก็ไม่อยากเชื่ออะไรง่ายเกินไปนัก

    เพราะคิดว่าปัญญาผมนี้ ชั่งน้อยนิดเหลือเกิน ตัวผมเองเมื่อเทียบกับมหาจักวาลทั้งหมดนี้ ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเล็กแค่ไหน

    ทุกวันนี้เวลาผมไหว้พระสวดมนต์ผมมักจะกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัยตามแบบหลวงพ่อสด
    เพราะผมชอบคำพูดประโยคหนึ่งมากที่ว่า

    "อุกาสะ อัจจะโยโนภันเต
    อัจจัคคะมา ยะถาพาเล
    ยะถามุฬเห ยะถาอะกุสะเล
    เยมะยัง กะรัมหา
    เอวังภันเต มะยัง
    อัจจะโยโน ปฏิคคัณหะถะ
    อายะติง สังวะเรยามิ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอวโรกาส
    ได้พลั้งพลาดด้วยกาย วาจา ใจ
    ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงไร
    แต่ข้าพระพุทธเจ้า
    เป็นคนพาล เป็นคนหลง
    อกุศลเข้าสิงจิต
    ให้กระทำความผิด
    ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    งงดความผิดทั้งหลายเหล่านั้น
    แก่ข้าพระพุทธเจ้า
    จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
    ข้าพระพุทธเจ้า จักขอสำรวมระวัง
    ซึ่งกาย วาจา ใจ
    สืบต่อไปในเบื้องหน้า"
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2010
  2. bridge

    bridge เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    1,252
    ค่าพลัง:
    +1,814
    ฮืม.........ขอบคุณมากค่ะที่คอยเตือนสติ

    ดฺฉันอยู่ระดับเริ่มต้นมานานละ
    ไม่เคยเข้าถึงขั้นนิพพานเสียที เพราะไม่ได้ศึกษา อย่างจริงจัง
    ที่ทำทุกวันก็แค่นั่งสมาธิพอให้จิตรเป็นสมาธิ และ ไม่ดำรงชีวิตประมาทเพียงเท่านี้แหละค่ะ

    ก็ได้ฟังความรู้หลายท่านจากเว็พนี้เยอะ ก็หลากหลาย บางท่านก็แปลกหน่อยแต่ก็ไม่คิดอะไร
    เพราะในชีวิตประจำวันมีหลายอย่างให้คิด
     
  3. ผู้เดินทาง

    ผู้เดินทาง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    203
    ค่าพลัง:
    +407
    เห็นด้วยครับ ไม่ปักใจเชื่อทีเดียว 100% ไม่ปฏิเสธทีเดียว 100% คือไม่ประกอบด้วยอคติ ใดๆตามหลักกาลามาสูตร รับฟังธรรมของบัณฑิตและกัลยาณมิตรไว้ด้วยความเคารพ ไม่ประมาทในธรรมของบัณฑิตและกัลยาณมิตร ธรรมล้วนเป็นเป็นปัจจัตตัง ปฏิบัติถึงเองก็รู้เองเห็นเอง
     
  4. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    เอ้า ท่านบอกให้ตามมา ก็ตามมา เป็นคนว่าง่ายเสียด้วย เหอะๆๆๆๆ
    ดีครับ
    ผมเคยเอาหลายอย่างพยายามจับมาพิสูจน์ ให้เป็นวิทยาศาสตร์
    แต่แท้จริงแล้วสิ่งทั้งหลายมีธรรมชาติเป็นใหญ่ เป็นไปตามหลักความธรรมดา หลักความจริง
    ซึ่งพระพุทธเจ้าท่านสั่งสอนมา (เฉพาะที่จะเกิดประโยชน์)

    วิทยาศาสตร์ เป็นแค่ศาสตร์แห่งการพิสูจน์ความจริง อาจหาสารพัดวิธี ทั้งเก็บสถิติ ทดลอง ตั้งสมมุติฐาน จนพบสมการความจริง แต่ขอบอกได้เลย จริงก็จริงได้ไม่ถึงครึ่ง

    พระพุทธเจ้าท่านรู้หมด แต่จะสอนให้ทั้งหมดนั้นไม่มีประโยชน์ วิทยาศาสตร์ตอนนี้เป็นวิทยาศาสตร์ด้านเดียว
    E = MC ยกกำลัง 2 เป็นสมการด้านเดียว !!!+++
    เพราะอะไร ?
    เพราะไอสไตล์บอก
    การสลายมวลของอะตอม(ที่เล็กๆมากๆ) จะได้พลังงานมหาศาล (ระเบิดปรมนู)
    ถ้าคิดกลับกัน นั่นแสดงว่าต้องรวมพลังงานมหาศาลมากๆเข้ามาไว้ด้วยกัน แล้วจะเกิดเป็นอะตอมเล็กๆ

    เห็นมั้ยดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าเป็นสมการด้านเดียว เพราะฉนั้นอย่าหวังเลยว่า จะมีสมการสูตรเดียว อธิบายได้ทุกสรรพสิ่งทุกมิติ มีแต่ผู้ที่ตรัสรู้หรือพระพุทธสัมสมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่รู้ แต่รู้ไปไม่เกิดประโยชน์ เสียเวลากันเปล่า

    เพราะฉนั้นโปรดอย่าเข้าใจผิดว่า วิทยาศาสตร์นั้นวิเศษเลิศเลอ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ เรื่องนั้นจึงค่อยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
    อันนี้ผิดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณรู้มั้ยว่า ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เนี่ย ไม่ถึง 1000 ปีมีการเปลี่ยนแปลงทฤษฎีนี้ ทฤษฎีโน้น กันเรื่อยไป มากกว่า 10 ครั้ง

    แต่ธรรมของพระพุทธองค์นี่สิ ของจริง พระพุทธเจ้าสิบองค์ ร้อยองค์ ที่ท่านได้เกิดขึ้นแล้วสั่งสอนธรรม ล้วนแต่สอนเรื่องเดียวกันหมด สิ่งเดียวกันทั้งหมด คือ สอนไปนิพพาน สอนดับกิเลส ท่านที่ทำได้มีมานับไม่ถ้วน

    1000 ปีมานี้ไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์หน้าไหน จะพิสูจน์นรก สวรรค์ นิพพาน กันได้เลยสักคน

    สวัสดี
    <!-- / message --><!-- sig -->
     
  5. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2009
  6. โลกันต์

    โลกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +620
    <TABLE cellSpacing=2 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#a77842>
    มารทดสอบ<!-- InstanceEndEditable -->
    </TD></TR><TR><TD>
    <!-- InstanceBeginEditable name="con" -->มารทดสอบนี้ มีความหมาย 4 แบบด้วยกันคือ

    1. แบ่งจริงเท็จ
    2. ชำระล้าง
    3. แปรเปลี่ยนนิสัย
    4. มรรคผล

    ท่าน ยินดีให้ต้นเจียรนัยเป็นหยกชิ้นงาม เพื่อรองรับงานภาคผู้ปกครองหรือไม่เพราะเหตุใด มาฟังคำตอบของพวกท่านดูบ้าง จะยกเป็นตัวอย่างขึ้นมาสองสามตัวอย่าง :

    -ร่างกายที่ธาตุธรรมนี้อาศัยอยู่แท้จริงก็เป็นของปลอมอยู่แล้วจะเกิดขึ้น ตั้งอยู่ หรือ แตกดับ จะสุข จะทุกข์ยาก เย็นแสนเข็ญเพียงไหนก็ขอให้แล้วแต่ฟ้าจะประทานหน้าที่มาให้ ข้าพเจ้าเป็นเพียงผู้ควบคุมขันธ์ อันจะเป็นช่องทางให้ต้นหรือภาคผู้ปกครองจะส่งคลื่นลงมาสู่เหล่าสรรพสัตว์ แม้นท่านได้เลือกเราแล้วก็ยากที่จะปฏิเสธ หรือหากแม้นธาตุธรรมนี้ขาดคุณสมบัติ แม้นอยากได้ความชอบ เฝ้าทูลอ้อนวอนสักปานไหนก็มิอาจพบทางที่ปรารถนาได้ ฉะนั้นจะยินดีหรือไม่ ย่อมหาความหมายมิได้ ขอเพียงให้ทุกอย่างเป็นไปเพื่อสรรพสัตว์เถิด

    -คำตอบของศิษย์อีก 1 คน : ในส่วนลึกนั้นยินดี แต่ธรรมสูง 1 ศอก มารสูง 1 วา ยุคนี้มารนั้นยิ่งใหญ่มาก คนเราเกิดมามีขันธ์ 5 การทวนกระแสอันเชี่ยวกรากนี้ กลัวว่าไม่สามารถจะต้านทานได้ จะพาสรรพสัตว์ให้หลงไปในทางที่ผิด นับว่าเป็นบาปใหญ่มีโทษมหันต์

    -คำตอบของอีก 1 คน : ยินดีให้เจียรนัยเพื่อเป็นหยกชิ้นงาม แต่จะได้รองรับงานภาคผู้ปกครองหรือไม่ นั้นไม่ใช่ประเด็นที่สนใจ เพราะหยกชิ้นงามย่อมทรงคุณค่าในตัวของมันเอง แม้ไม่มีใครเห็นคุณค่าก็ไม่เคยเปลี่ยน ยิ่งเจียรนัยมากยิ่งสั่งสมบุญมาก หยกยิ่งงามมากขึ้น เพื่อสู่ความเป็นอริยะ มีนิพพานเป็นที่เสวยสุขนิรันดร์

    ในส่วนมากที่ตอบนี่ 99 % ยินดีให้ต้นเจียรนัยเป็นหยกชิ้นงาม การเจียรนัยหยกเราก็ต้องเอาเครื่องฝน เครื่องแกะสลักมาเจียร เจียรแล้วก็ขัด ขัดให้ขึ้นเงางามก็เปรียบเหมือนกับสภาพความเป็นมนุษย์ เราจะเหยียบเมฆบันไดขึ้นสู่สวรรค์นิพพาน มารทดสอบก็เปรียบเหมือนเครื่องเจียรนัยหยก เมื่อเจียรถูกก็ย่อมถูกเนื้อหยกเนื้อหิน มารสอบก็เช่นกัน ในสภาวะที่ถูกสอบทั้งสภาวะครอบครัว สภาวะจิตใจ หน้าที่การงาน ภัยพิบัติ โรคภัยไข้เจ็บ แล้วก็ ความวิบัติต่างๆ สิ่งเหล่านี้เป็นการเสริมสร้างให้บุคคลที่ถูกเจียร แข็งแกร่ง เมื่อเราผ่านพ้นมาได้ เราก็จะเติบโตมีปัญญาที่เพิ่มขึ้น มีความอดทนที่มากขึ้น มีสติปัญญาที่ดีขึ้น สิ่งเหล่านี้ ก็บ่งบอกรากธรรม บุคคลที่มีรากธรรมที่หยั่งลึก รากแก้วที่ลึกมาก เมื่อเราจะผลักจะเลื่อยจะยังไง ต้นไม้นั้นย่อมไม่ตาย ส่วนรากธรรมที่ตื้น ก็ย่อมล้มหัก สลายไปในที่สุด

    เมื่อต้นเจียรนัยหยกแล้ว ถูกความทุกข์ยากมาโทษฟ้าโทษดินสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกต้อง กาลเวลาก็ได้พิสูจน์ บทเรียนต่างๆ ก็ได้พิสูจน์ ของพวกที่เข้ามาสอบ ฉะนั้นบุคคลใดจะรู้ดีเท่ากับตัวของตัวเองนั้นย่อมไม่มี คนไหนที่ยังตกเป็นทาสของอารมณ์ คนไหนที่ยังขาดสติ คนไหนที่ยังปัญญาไม่มากเพียงพอ คนไหนที่ยังมีความอดทนไม่มาก เราย่อมรู้ดี คุณสมบัติของเราบกพร่องในส่วนใด จงทำส่วนนั้นให้มาก การที่จะบรรลุเข้าสู่ฝั่งพระนิพพานย่อมไม่ได้เดินอยุ่บนเส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ ความเหน็ดเหนื่อยตรากตรำเบื่อล้า ทุกข์ยากเหลือเข็ญ เหล่านี้ จะสร้างให้เราเป็นคนเต็มคน ให้เราสามารถเดินสู่ฝั่งพระนิพพานได้อย่างองอาจ และถึงเป้าหมายอย่างไม่มีการหลงทาง ผิดทาง ทำให้เสียเวลา และอาจจะไม่ทันยุค Transmigation นี้ การขนย้ายสรรพสัตว์เข้าสู่ฝั่งพระนิพพานก่อนที่ภัยพิบัติต่างๆจะบังเกิดขึ้น พวกท่านก็ได้ผ่านการทดสอบแล้ว ลำบากไม่น้อยที่สอบมาก็รู้สึกว่าไม่เลวทีเดียว ตอนนี้ภาคผู้ปกครองก็ได้ลงทะเบียนชื่อไว้ตามนโยบาย Transmigation ก็ขอให้ขยันเข้าไว้เตรียมตัวเข้าสอบสนามใหญ่ ขอให้ยึดมั่นมีจิตศรัทธา มีความอดทน มาถึงขั้นนี้แล้วก็ได้ถึง 60 คะแนนทีเดียว ที่เหลืออีกก็เป็นการทดสอบด้านปัญญา ฉะนั้นจึงถือโอกาสอันดีนี้ เตือนพวกท่านอย่าได้สละสิทธิ์ สวรรค์เปิดสอบเพื่อโปรด 3 ภพ
     
  7. Unseen

    Unseen Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    41
    ค่าพลัง:
    +40
    " จงรู้ไว้ว่าหยกนั้นถ้าไม่เจียร ไม่ได้รูป ทองไม่หลอมไม่มีค่า หรือไม่มีเขาสูงย่อมไม่เห็นที่ลุ่มลึก เหล็กไม่ตีไม่ได้รูป หวังอย่างยิ่งว่า ทุกท่านจะมีความอดทนต่อการบำเพ็ญ หากไม่ทนกับสิ่งเล็กๆน้อยๆย่อมเสียงานใหญ่ "
    ที่กล่าวมาทั้งหมดคืออัตตา จิตแท้คือพุทธะ
     
  8. skyboy

    skyboy เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    18 มีนาคม 2005
    โพสต์:
    555
    ค่าพลัง:
    +592
    ถูกต้องแล้วครับ :cool:
     
  9. โลกันต์

    โลกันต์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    357
    ค่าพลัง:
    +620


    *******************************************

    รู้ชัดในอัตตา เข้าถึงอนัตตา ผ่านพ้นอนัตตา.... ก็เห็นสองสิ่งคู่...




    จึงเข้าสู่จิตหนึ่ง



    "สนทนาธรรมตามกาล เป็นมงคลอย่างยิ่ง " [b-wai]



     
  10. Srijun

    Srijun Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 กุมภาพันธ์ 2009
    โพสต์:
    437
    ค่าพลัง:
    +71
    ขุด
     
  11. OLDMAN AND A CAR

    OLDMAN AND A CAR เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2008
    โพสต์:
    824
    ค่าพลัง:
    +2,752
    อ้างถึง:

    เพราะฉนั้นโปรดอย่าเข้าใจผิดว่า วิทยาศาสตร์นั้นวิเศษเลิศเลอ ทุกอย่างต้องเป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ ทางวิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ เรื่องนั้นจึงค่อยเชื่อว่าเป็นเรื่องจริง
    อันนี้ผิดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ คุณรู้มั้ยว่า ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์เนี่ย ไม่ถึง 1000 ปีมีการเปลี่ยนแปลงทฤษฎีนี้ ทฤษฎีโน้น กันเรื่อยไป มากกว่า 10 ครั้ง

    แต่ธรรมของพระพุทธองค์นี่สิ ของจริง พระพุทธเจ้าสิบองค์ ร้อยองค์ ที่ท่านได้เกิดขึ้นแล้วสั่งสอนธรรม ล้วนแต่สอนเรื่องเดียวกันหมด สิ่งเดียวกันทั้งหมด คือ สอนไปนิพพาน สอนดับกิเลส ท่านที่ทำได้มีมานับไม่ถ้วน

    1000 ปีมานี้ไม่เห็นนักวิทยาศาสตร์หน้าไหน จะพิสูจน์นรก สวรรค์ นิพพาน กันได้เลยสักคน

    ตอบ
    ๑. คุณยายครับ ผิดเฉยๆ น่าจะดีกว่า นะครับ...ผิดมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ... แบบนี้ อ่านแล้ว น่ากลัว...
    ๒. อะไรที่วิทยาศาตร์ ยังพิสูจน์ไม่ได้ ก็ ไม่ได่หมายความว่า เรื่องนั้นๆจะต้องไม่จริง สักหน่อย เป็นเพราะ ความรู้ ของ มนุษย์ ยัง ไป ไม่ถึง ระดับ ที่จะ รู้แจ้ง ในสิ่งนั้นๆ ได้ ต่างหาก ทฤษฎีต่างๆ จึง ต้อง ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จนกว่า จะได้คำตอบ ที่แน่นอน (สัจธรรม) เมื่อยังไปไม่ถึงระดับที่ทราบคำตอบ แน่ชัด วิทยาศาสตร์ จะ ใช้ ทฤษฎี หรือ สมมุติฐาน ที่ใกล้เคียงที่สุด ในขณะนั้น เพื่อ อธิบายปรากฎการณ์ ที่เกิดขึ้น...แน่นอนว่า ย่อมไม่ถูกต้อง ๑๐๐%

    ๒. เรื่อง นรก สวรรค์ นั้น นักวิทยาศาสตร์ พิสูจน์ ได้ นาน แล้ว ครับ... ก็ นักวิทยาศาสตร์ ทางจิต ..ไง....ไม่เชื่อ ลองไปถาม คุณเวปสโนว์....หรือ ใครๆก็ได้ ว่า จริงใหม?....
     
  12. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ใครหนอ..ช่างขุดขึ้นมา..
     
  13. neung48

    neung48 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 ตุลาคม 2006
    โพสต์:
    465
    ค่าพลัง:
    +457
    เริ่มเดินมันก็มีล้มกันบ้าง เป็นธรรมดา แต่ถ้าเดินบ่อยๆมันก็คล่องขึ้น เหมือนกัน ใหม่ๆอาจมีการใช้ปัญญา(สมอง) ในการพิจารณาอยู่บ้าง เพราะจิตยังไม่ละเอียดรอบคอบดี ยังมีคิดอกุศลอยู่บ้าง แต่ถ้าเราไม่หมั่นพิจารณา ก็จะเหมือนเด็กที่ล้มตอนหัดเดินแล้วไม่ยอมเดินอีก เพราะกลัวเจ็บ
     
  14. วิญญาณนิพพาน

    วิญญาณนิพพาน ทีมงานอาสาฯ ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    22,458
    กระทู้เรื่องเด่น:
    51
    ค่าพลัง:
    +21,011
    ครับ วางตัีวเป็นกลางดีที่สุด ใครจะอะไรยังไงก็ช่างเขา ทุกคนมีกรรมของตนครับ อนุโมทนา
     
  15. นักเดินธรรม

    นักเดินธรรม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 มกราคม 2009
    โพสต์:
    998
    ค่าพลัง:
    +2,393
    เพียรขจัดกิเลสของตน เพ่งโทษที่เกิดในใจให้มาก แล้วบรรเทาเบาบางการรองรับอารมณ์กิเลส

    ต่างๆในใจ คนอื่นก็เรื่องของเค้า ใครกินใครก็อิ่มนะ สายไหน ปฎิบัติอะไรถ้าเป็นไปเพื่อ

    กำจัดกิเลสตน ไม่เล็งเห็นโทษผู้อื่นก็ดีด้วยกันทั้งนั้น ขออนุโทนา
     
  16. Chayutt

    Chayutt รูปเดิมไม่เคยเปลี่ยนเลยครับ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    6,408
    ค่าพลัง:
    +50,772
    ขออนุญาตขุดขึ้นมาอีกทีครับ เผื่อจะตรงกับบางคน
    ที่กำลังมีอาการเหมือนที่ผมเคยเป็นเมื่อหลายปีก่อนโน้น

    .............................................................


    คนที่อยู่ระหว่างทางไปพระนิพพาน นี่แหละที่น่าเป็นห่วงมาก

    <hr style="color: rgb(255, 255, 255); background-color: rgb(255, 255, 255);" size="1">

    ผมสังเกตเห็นหลายคน หลายความคิด รวมถึงตัวผมเองด้วย มักเป็นเช่นนี้

    - ในตอนแรกๆที่ยังไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับธรรมะเลย ก็อาจจะวิพากษ์วิจารณ์สนุกปากแบบไม่มีหลักการอะไร
    (อันนั้นก็ปล่อยเขาไป) หรือบางคนอาจจะไม่กล้าวิจารณ์เพราะรู้ตัวว่ายังไม่รู้ดีพอ

    - พอเริ่มศึกษาธรรมะเข้าระดับหนึ่ง หมายถึงอยู่ระหว่างกลางระหว่างทางพระนิพพาน

    -> กลุ่มนี้แหละน่าห่วงที่สุด (รวมทั้งตัวผมเองด้วยครับ) ที่ความรู้ความเข้าใจในเรื่องธรรมะ
    มันจะเริ่มมีมากขึ้นๆ ก็จะเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นๆ การปฏิบัติสายอื่นๆ สำนักอื่นๆ นิกายอื่นๆ
    ศาสนาอื่นๆ ฯลฯ
    แบบเริ่มมีหลักการของตนเอง

    ตัวอย่างเช่น ตัวผมเองสมัยก่อนจะมองเห็นคนที่เล่นพระเครื่อง
    เล่นเครื่องรางของขลัง
    ว่าช่าง "งมงายเสียเหลือเกิน" ว่าทำไมไม่ใช้สติปัญญาคิดดูให้ดีนะ กำลังถูกหลอกอยู่ยังไม่รู้ตัวอีก

    สิ่งเหล่านั้นมันจะมีจริงไปได้อย่างไร มันพิสูจน์ไม่ได้ ใครๆก็รู้
    ทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น มันแค่เป็นไปตามหลักจิตวิทยาเท่านั้นเอง


    คนที่คิดว่าตนเองนั่งเห็นโน่นเห็นนี่ทั้งหลาย ที่แท้มันก็เป็นแค่ภาพลวงตา หรือการสะกดจิตตัวเองเท่านั้นเอง

    และไอ้ที่ว่าขลังนั่น มันก็แค่เกิดจากกำลังใจของผู้ครอบครองเองมากกว่า อะไรทำนองนี้เป็นต้น

    และจะมองว่านิตยสารพวกอิทธิฤทธิ ปาติหารย์ทั้งหมด ว่าเป็นสิ่งตีพิมพิ์อีกเกรดหนึ่ง
    ที่มีความสวยงาม และเนื้อหาสู้หนังสืออื่นๆไม่ได้ แล้วก็พาลนึกดูหมิ่นดูแคลนสำนักบางสำนัก
    ที่สอนธรรมะโดยอิงเรื่องพวกนี้มากๆ
    นึกอยู่แต่ว่าสติปัฏฐาน 4 ของสำนักที่ตัวเองศัทธา นั่นหละจึงจะเป็นของจริง
    จึงจะอิงไปด้วยเหตุ-ด้วยผล จึงจะมีความเป็นวิทยาศาสตร์



    หลังจากนั้น หลายปีต่อมา ทุกวันนี้ผมแทบไม่กล้าใช้คำว่า "ปัญญา" กับตัวเองเลย
    เพราะตราบใดที่เรายังคิด-นึกอยู่ภายใต้อิทธิพล
    ของแรงขับดันของกิเลสอยู่หละก็
    ผมก็ว่าคำว่า "ถูกต้อง" มันก็ยังเชื่อถือไม่ได้อยู่ดีหนะแหละ เพราะใครๆก็มักคิดว่าตนเองถูก

    ตนเองทำดีแล้ว สิ่งที่ตัวเองปฏิบัติอยู่มันคือทางตรง-ทางสายเอกที่สุดแล้ว
    และคิดว่าที่คนอื่นทำนั้นหนะอาจจะไม่ตรงซะทีเดียว
    อะไรทำนองนี้

    ผมรู้สึกว่าโลกทั้งหมดทั้งสิ้น มันกว้างใหญ่มากนัก สิ่งที่เรารู้จัก มันไม่ได้เป็นอย่างที่เราคาดหวัง-เข้าใจ
    และคิดว่าเรารู้จักมันดีแล้ว เสมอไป ความลับมันยังมีอีกมากมายที่ยังซ่อนเร้นอยู่ ต่อให้ค้นหาทั้งชีวิตนี้
    และชีวิตหน้า ผมก็เชื่อว่าเราก็มิอาจรู้จักมันได้หมด เหมือนดังพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า "ใบไม้เพียงกำมือ"
    เทียบกับใบไม้ทั้งป่าไม่ได้

    แต่สิ่งที่จำเป็นอันดับต้นๆของชีวิตมนุษย์ ที่พระองค์แนะนำให้รู้ก็คือ"ใบไม้เพียงกำมือ" นี่แหละ

    ซึ่งเป็นการเพียงพอแล้วที่จะเอาตัวรอดจากวัฏสงสารนี้ได้

    ดังนั้นโดยนัยนี้ ต่อให้เราพากเพียรจนรู้หมดสิ้นทุกอย่างแห่งการพ้นทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้แล้วก็ตาม
    ก็แค่หมายความว่า
    เราแค่รู้เรื่องของใบไม้เพียงกำมือเดียวเท่านั้นเอง ไม่ได้หมายความว่าเรารู้หมดทุกสิ่งทุกอย่าง

    ดังนั้นเราจึงเห็น หรือ ได้ยิน-ได้ฟังอยู่บ่อยๆ เกี่ยวกับการกล่าวทำนองว่า สำนักอื่นๆนั้นพูดผิด คิดผิด ปฏิบัติผิด
    หรือไม่ตรงทาง
    อะไรทำนองนี้ ถ้าตามความคิดของผม ผมเข้าใจว่าบางสำนักที่ว่านั้น ท่านก็ปฏิบัติธรรมเหมือนกัน
    อาจจะรู้จักใบไม้ในกำมือครบถ้วนแล้วเหมือนกันก็ได้ แต่ท่านอาจจะไปรู้ไปเห็นอะไรที่เป็นใบไม้ใบอื่น
    ที่อยู่นอกกำมือด้วยก็ได้


    ดังนั้น การที่จะไปบอกว่าหรือคิดว่าท่านอวดอุตริมนุษยธรรมนี่ ผมคิดว่าควรพึงระวังให้มากทีเดียว เพราะวิสัยของฌานนั้น

    อย่าลืมว่าวิสัยของฌานก็คือ 1 ใน 4 อจินไตยที่เป็นที่ยากต่อการคิดคำนวณได้

    ดังนั้นผมจึงกล่าวว่าผู้ที่อยู่ระหว่างทางพระนิพพานนี่แหละ น่าห่วงเหลือเกิน

    เราเคยสังเกตกันหรือไม่ว่า สิ่งที่เคยคิดว่ามันใช่ มันก็ไม่ได้ใช่เสมอไป
    สิ่งที่คิดว่ามันจริงแท้ มันก็ไม่ได้จริงแท้เสมอไป


    ดังนั้นผมจึงพยายามทำใจให้เปิดไว้เสมอ พยายามไม่ปฏิเสธอะไรง่ายๆ และก็ไม่อยากเชื่ออะไรง่ายเกินไปนัก

    เพราะคิดว่าปัญญาผมนี้ ชั่งน้อยนิดเหลือเกิน ตัวผมเองเมื่อเทียบกับมหาจักวาลทั้งหมดนี้ ยังนึกไม่ออกเลยว่าจะเล็กแค่ไหน

    ทุกวันนี้เวลาผมไหว้พระสวดมนต์ผมมักจะกล่าวคำขอขมาพระรัตนตรัยตามแบบหลวงพ่อสด
    เพราะผมชอบคำพูดประโยคหนึ่งมากที่ว่า

    "อุกาสะ อัจจะโยโนภันเต
    อัจจัคคะมา ยะถาพาเล
    ยะถามุฬเห ยะถาอะกุสะเล
    เยมะยัง กะรัมหา
    เอวังภันเต มะยัง
    อัจจะโยโน ปฏิคคัณหะถะ
    อายะติง สังวะเรยามิ

    ข้าพระพุทธเจ้าขอวโรกาส
    ได้พลั้งพลาดด้วยกาย วาจา ใจ
    ในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพียงไร
    แต่ข้าพระพุทธเจ้า
    เป็นคนพาล เป็นคนหลง
    อกุศลเข้าสิงจิต
    ให้กระทำความผิด
    ต่อพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
    งงดความผิดทั้งหลายเหล่านั้น
    แก่ข้าพระพุทธเจ้า
    จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป
    ข้าพระพุทธเจ้า จักขอสำรวมระวัง
    ซึ่งกาย วาจา ใจ
    สืบต่อไปในเบื้องหน้า"

    __________________
     
  17. sakara

    sakara Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 เมษายน 2006
    โพสต์:
    94
    ค่าพลัง:
    +80
    อ่า ผมคนนึงแหละ เป็นบ้าง ใจดูถูกคนอื่นมีบ้าง แต่พยายามตั้งสติระลึกเอาไว้

    รู้ตัวว่าใจกำลังไปในทางผิด หากคิดแล้วรู้ว่าผิด จงนิ่งเฉยเสีย แล้วปล่อยให้จิตฝ่ายชั่วดับไป

    อันนี้คือที่ผมทำนะครับ ความว่างเปล่านั่นแล คือความสุขอันหาที่เปรียบมิได้
     
  18. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    อ่านกันให้ครบๆเต็มเรื่องใบไม้นอกกำมือ
    พระพุทธองค์รู้มากกว่าที่สอน

    ปัญหา มีหลักฐานอะไรที่แสดงว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้ความจริงด้านอื่น ๆ ด้วย เช่น ความจริงทางวิทยาศาสตร์ แต่พระองค์มิได้ทรงสอนไว้ ?

    คำตอบ “สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ สีสปาวันใกล้เมืองโกสัมพี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหยิบเอาใบประดู่ลายสองสามใบไว้ในพระหัตถ์ ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายแล้วตรัสถามว่า....” ใบประดู่ลายสองสามใบที่เราถือด้วยฝ่ามือกับใบที่บนต้น ไหนจะมากกว่ากัน”
    ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า “ใบประดู่ลายที่พระผู้มีพระภาคทรงถือว่า...มีประมาณน้อย ที่บนต้นมีมากกว่า พระเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เรารู้แล้วมิได้บอกเธอทั้งหลายมีมาก เพราะเหตุไรจึงไม่บอก เพราะสิ่งนั้นไม่ประกอบด้วยประโยชน์ มิใช่เบื้องต้นแห่งพรหมจรรย์.... เหตุนั้นเราจึงไม่บอก”
    ลีสปาสูตร มหา. สํ. (๑๗๑๒ )
    ตบ. ๑๙ : ๕๔๘ ตท. ๑๙ : ๔๙๓
    ตอ. K.S. ๕ : ๓๗๐
     
  19. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    ทำไมไม่อ้างพระสูตรนี้กันบ้าง
    พระพุทธองค์ไม่มีคำสอนพิเศษเพื่อใคร

    ปัญหา พระพุทธเจ้าทรงมีคำสอนพิเศษที่สงวนไว้สำหรับพระสาวกบางประเภทหรือไม่ ? และทรงมีคำสอนพิเศษที่จะประกาศแก่พระสงฆ์สาวกก่อนจะเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานหรือไม่ ?

    พุทธดำรัสตอบ “ดูก่อนอานนท์ บัดนี้ภิกษุสงฆ์จะมาหวังอะไรในเราอีกเล่า ? พระธรรมเราแสดงไว้แล้วโดยไม่มีนอกไม่มีใน
    ดูก่อนอานนท์ ในธรรมทั้งหลายของตถาคต ย่อมไม่มีกำมือแห่งอาจารย์ (สิ่งที่อาจารย์กำไว้เป็นความลับ) ผู้ใดพึงมีความดำริอย่างนี้ว่า เราจักบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัย ผู้นั้นพึงปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้อย่างแน่นอน
    “ดูก่อนอานนท์ ตถาคตไม่เคยมีความดำริอย่างนี้เลยว่า เราจะบริหารภิกษุสงฆ์ หรือว่า ภิกษุสงฆ์มีเราเป็นที่อิงอาศัย ฉะนั้นตถาคตจักปรารภภิกษุสงฆ์กล่าวประกาศเรื่องใดเรื่องหนึ่งทำไมเล่า ? บัดนี้เราก็แก่เฒ่าเป็นผู้ใหญ่ล่วงกาลผ่านวัยแล้ว วัยของเราล่วงเข้าแปดสิบปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้ไปได้ ก็เพราะการซ่อมแซมด้วยไม้ไผ่ฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน...”


    คิลานสูตร มหา. สํ. (๗๑๐)
    ตบ. ๑๙ : ๒๐๔-๒๐๕ ตท. ๑๙ : ๑๙๔-๑๙๕
    ตอ. K.S. ๕ : ๑๓๑-๑๓๒
     
  20. มีแปปเดียว

    มีแปปเดียว เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 มกราคม 2010
    โพสต์:
    889
    ค่าพลัง:
    +3,876
    คนกำลังเดินทางไปนิพพาน เดินไม่ผิดทางแน่ถ้าเดินไปตามอริยมรรคมีองค์8
    ลอกมาให้พิจารณากันครับ
    อริยมรรคมีองค์แปด<TABLE style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>จิตที่ดำเนินไปในเส้นทางมหาสติปัฏฐานสี่ อริยมรรคมีองค์แปด ... ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมเดินไปพร้อมกัน ธรรมจักรย่อมหมุนไป ตัดกระแสแห่งวัฏฏสงสาร เพื่อถึงฝั่งแห่งพระนิพพาน อันเป็นสภาพสิ้นทุกข์ ไม่มีความกังวล</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>
    พระพุทธองค์ ตรัสเปรียบเทียบว่า
    หม้อน้ำที่ไม่ฐานรองรับ ย่อมกลิ้งตกไป ได้ง่าย หม้อน้ำที่มีฐานรองรับ ย่อมกลิ้งตกไปได้ยากฉันใด จิตที่ไม่มี ฐานรองรับ ย่อมตกไปในที่ต่ำได้ง่าย ส่วนจิตที่มีฐานรองรับ ย่อมตกไปที่ต่ำได้ยากฉันนั้น...
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>
    [​IMG]

    อะไร.. คือฐานรองรับจิต? อริยมรรคมีองค์ ๘ เป็นฐานรองรับจิต มีดังนี้
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">
    ๑. เห็นถูกต้อง (สัมมาทิฏฐิ)
    ๒. คิดถูกต้อง (สัมมาสังกัปปะ)
    ๓. พูดถูกต้อง (สัมมาวาจา)
    ๔. ทำถูกต้อง (สัมมากัมมันตะ)
    </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">
    ๕. อาชีพถูกต้อง (สัมมาอาชีวะ)
    ๖. เพียรถูกต้อง (สัมมาวายามะ)
    ๗. สติถูกต้อง (สัมมาสติ)
    ๘. สมาธิถูกต้อง (สัมมาสมาธิ)
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>จิตที่ดำเนินไปในเส้นทางแห่ง มหาสติปัฏฐาน ๔ อริยมรรคมีองค์ ๘ ...ศีล-สมาธิ-ปัญญา ย่อมเดินไปพร้อมกัน </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" cellSpacing=1 cellPadding=2 width="100%"><TBODY><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>
    อริยมรรคมีองค์ ๘ คืออะไรบ้าง
    </TD></TR><TR width="0"><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๑. เห็นถูกต้อง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ เห็นตามอริยสัจ ๔ </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๒. คิดถูกต้อง
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ ใจบริสุทธิ์ เป็นอิสระจากอารมณ์ โลภ โกรธ หลง เป็นไปเพื่อความสุข ความเมตตา ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น
    </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๓. พูดถูกต้อง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ พูดในสิ่งที่เป็นจริง เป็นประโยชน์ ถูกกาละเทศะ สุภาพและอ่อนโยน ด้วยจิตเมตตา และหวังดี </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๔. ทำถูกต้อง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ มีเมตตา(ไม่ฆ่าสัตว์) ซื่อสัตย์(ไม่ลักทรัพย์) ให้ทาน สำรวมในคู่ของตน </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๕. อาชีพบริสุทธิ์</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">เมื่อเห็นถูกต้อง คิดถูกต้อง พูดถูกต้อง ทำถูกต้อง อาชีพย่อมบริสุทธิ์ </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๖. เพียรถูกต้อง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ เพียรในการละบาปเก่า ระวังบาปใหม่ที่จะเข้ามา เพียรสร้างกุศล และรักษากุศลที่สร้างไว้ไม่ให้เสื่อม</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๗. สติถูกต้อง </TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ การระลึกเป็นภายในอยู่เนืองๆ คือ ระลึกไปตามฐานทั้ง ๔ คือ มหาสติปัฏฐาน ๔</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px" colSpan=2>๘. สมาธิถูกต้อง</TD></TR><TR><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px"> </TD><TD style="BORDER-BOTTOM: #c0c0c0 1px; BORDER-LEFT: #c0c0c0 1px; BORDER-TOP: #c0c0c0 1px; BORDER-RIGHT: #c0c0c0 1px">คือ เมื่อจิตสงบ จิตจึงตั้งมั่น เมื่อจิตตั้งมั่น ฌาน,ญาณจึงเกิด

    </TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...