เหรียญพระแก้วมรกตวัดชลอพ่อท่านเขียววัดหรงบลปลุกเสก พระสมเด็จคะแนนหลวงพ่อคำวัดสุวรรณ

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1740991388964.jpg

    ประวัติหลวงพ่ออ๋อย วัดหนองบัว-หนองกลับ อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์
    หลวงพ่ออ๋อยนามเดิมท่านชื่อ อ๋อย พรมบุญ บิดาท่านชื่อ พรม มารดาชื่อ พวง ท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2442 ปีกุน หมู่ที่ 2 บ้านใหญ่ ต.หนองกลับ อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร (ขณะนี้โอนมาขึ้นกลับ อ. หนองบัว จ.นครสวรรค์)
    เมื่ออายุครบบวชท่านได้อุปสมบท ณ วัดเขาพนมรอก อ.ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ มีพระนิพันธ์ธรรมมาจารย์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการอู่ เป็นพระกรรมวาจา พระอธิการพรมเป็นพระอนุสาวนาจารย์ ในวันที่ 2 สิงหาคม พ.ศ.2462 เวลา 09.15 เมื่ออายุ 20 ปี เป็นเจ้าอาวาสวัดหนองบัว(หนองกลับ) เมื่อ พ.ศ. 2469 เป็นพระฐานานุกรม ที่พระสมุห์ของเจ้าคณะอำเภอบางมูลนาถเป็นเจ้าคณะหมวดวัดหนองกลับ(หนองบัว) อ.บางมูลนาถ จ.พิจิตร เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ. 2481 ดำรงสมณศักดิ์ที่พระครูนิกรปทุมรักษ์ เมื่อ พ.ศ.2494 เป็นเจ้าคณะอำเภอหนองบัว เมื่อ พ.ศ. 2499
    #หลวงพ่ออ๋อยท่านเป็นพระเถระรุ่นราวคราวเดียวกันกับ หลวงพ่อทบ วัดชนแดน เพชรบูรณ์ และ หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว นครสวรรค์ หลวงพ่อสวาสดิ์ วัดห้วยร่วม อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์ เพียงแต่หลวงพ่ออ๋อย มีอาวุโสน้อยกว่า แต่ท่านชอบไปมาหาสู่กันเสมอๆ ถ้ามีงานด้านพุทธาภิเษก มักจะปลุกเสกร่วมกันเสมอ
    #ในสมัยที่หลวงพ่ออ๋อย ได้เป็นพระสมุห์อ๋อย ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ หลวงพ่อเดิม พุทธสโร วัดหนองโพ นครสวรรค์ แล้วท่านยังได้นิมนต์ หลวงพ่อเดิม มาสร้างศาลาการเปรียญที่วัดหนองบัวด้วยซึ่งก็แล้วเสร็จภายใน 1 ปี
    หลวงพ่ออ๋อย ท่านเป็นพระเถระที่มีบารมีท่านหนึ่ง ประชาชนมักจะนำบุตรมาบวชเป็นศิษย์ของท่านปีละประมาณ 300 กว่ารูปทุกปี เป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศ ทั้งเป็นผู้ที่มีอารมณ์ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ชอบเล่าเรื่องขบขันและยังชอบเล่านิทานพื้นบ้านอีกด้วย...สิ่งที่หลวงพ่ออ๋อย ท่านโปรดปรานมากเวลามีงานที่วัดจะขาดเสียมิได้คือ เพลงโคราช หลวงพ่ออ๋อยท่านจึงเป็นมิ่งขวัญของชาวหนองบัวโดยแท้ และสิ่งที่ชาวบ้านนิยมที่สุดคือ #วัตถุมงคลของหลวงพ่ออ๋อย ที่ท่านได้รับการถ่ายทอดวิชามาจาก หลวงพ่อเดิม ที่ประชาชนนิยมกันมากก็จะเป็น มีดด้ามงาท่านสร้างปีละประมาณ 250 เล่ม ตั้งแต่ปี 2500 เป็นต้นมา นับว่าสร้างมีดมากที่สุดในบรรดาศิษย์สายหลวงพ่อเดิม...
    หลวงพ่ออ๋อย ท่านมีโรคประจำตัวคือ โรคต่อมลูกหมากอักเสบ เคยเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์หลายครั้ง เนื่องด้วยท่านอายุมากแล้ว ไม่สามารถผ่าตัดได้ รักษาโดยวิธีกินยา ครั้งสุดท้ายท่านป่วยอีกต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาลหนองบัว และได้ส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ เมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ.2529 ทำการรักษาที่โรงพยาบาลจนถึงวันที่ 26 สิงหาคม พ.ศ.2529 ท่านก็ได้มรณะภาพลง เวลา 02.05 รวมอายุได้ 87 ปี พรรษา 67 และได้ทำการตั้งศพบำเพ็ญกุศลไว้ที่วัดหนองบัว 15 วัน
    การจากไปของท่าน สร้างความเศร้าโศกเสียใจแก่ คณะศิษยานุศิษย์เป็นอย่างยิ่ง แต่ผลงานและเกียรติคุณและความเคารพนับถือในพระคุณ ท่านยังปรากฏอยู่ ดุจประหนึ่งว่าท่านยังมีชีวิตอยู่ ด้วยท่านสร้างถาวรวัตถุและวัตถุมงคลไว้ให้คุ้มครองศิษย์เป็นอันมาก เป็นอนุสรณ์สืบไป...
    #การสร้างวัตถุมงคล คณะศิษย์ได้จัดสร้างรูปหล่อโบราณรุ่นแรก เมื่อ ปี พ.ศ.2504 เป็นงานฉลองอายุ 63 ปีของท่าน มีคณาจารย์ที่สำคัญมาปลุกเสก ได้แก่
    1.หลวงพ่อเขียน วัดสำนักขุนเณร อ.บางมูลนาก จ.พิจิตร
    2.หลวงพ่อกัน วัดเขาแก้ว อ.พยุหะคีรี จ.นครสวรรค์ เป็นต้น
    พุทธคุณ รูปหล่อโบราณที่เททองในวัดจะมีกระแสโลหะงดงาม มีชาวบ้านนำโลหะมีค่าทองคำ นาค เงิน ขันสัมฤทธิ์ ขันลงหิน #นอกจากนี้ยังมีแผ่นจารอักขระยันต์ต่างๆ ผสมเป็นชนวนลงในเบ้าหลอม เป็นวัตถุมงคลรุ่นที่หาชมได้ยาก ประสบการณ์มากมาย ในด้านคงกระพัน แคล้วคลาด กันเขี้ยวงา ส่วนเมตตามหานิยมก็เด่นรองลงมา
    รุ่น 2 พ.ศ. 2506 รุ่น ฉลองสมณศักดิ์พระครูชั้นเอก และวันเสาร์ 5 ด้วย จึงมีพิธีพุทธาภิเษกสร้างรูปหล่อและเกรียญรุ่นแรก จำนวน 2506 เหรียญ จำนวนเท่า พ.ศ. สร้าง 3 ชนิด คือ รูปหล่อ 2. เหรียญกลมอัลปาก้า 2506 และ 3. เหรียญรูปไข่ทองเหลือง ไม่บอก พ.ศ.
    รุ่นที่ 3 ปี พ.ศ. 2515 สร้างรูปหล่อและเหรียญ
    รุ่นที่ 4 ปี พ.ศ. 2517 สร้างเหรียญ รุ่นสร้างอุโบสถวัดจิกยาวใต้
    รุ่นที่ 5 ปี พ.ศ. 2520 รุ่นฉลองอายุ 80 ปี คือ
    1) สร้างรูปหล่อนวโลหะ อัดฉีด สวยงามมาก
    2) สร้างเหรียญทองเหลือง 5,000 เหรียญ และสร้างรูปหล่อหลวงพ่อเดิมด้วย พระคณาจารย์ร่วมพิธี คือ 1. หลวงพ่อทองอยู่ วัดเกยไชย จ.นครสวรรค์ 2. หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางคลาน จ.พิจิตร
    รุ่น 6 ปี พ.ศ. 2522 รุ่นเสาร์ 5 สร้างรูปหล่อและเหรียญ
    วัตถุมงคลหลวงพ่ออ๋อย ที่ท่านได้รับวิชาถ่ายทอดมาจากหลวงพ่อเดิม ที่ประชาชนนิยมมาก คือ มีดด้ามงา ท่านสร้างปีละประมาณ 250 เล่ม ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2500 ตัวมีดใช้เหล็กธรรมดา สมัยนั้นนิยมมีดเหล็กขาว และเริ่มใช้ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2506 เป็นต้นมา และนิยมใช้มีดนาคสมพงษ์ เป็นส่วนมาก
    หลวงพ่อท่านเป็นพระนักพัฒนา มีผลงานและเกียรติคุณในการสร้างคุณประโยชน์นานับประการ สาธุ ครับ
    ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือประวัติหลวงพ่อเดิม รวบรวมโดย วัดหนองบัว ครับ
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญหลวงพ่ออ๋อยหลังหลวงพ่อเดิม ปี๒๕๑๗ ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250303_101143.jpg IMG_20250303_101223.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    95-1.jpg


    ประวัติหลวงพ่อ
    หลวงพ่อคำ ชาตสุโข พื้นเพเป็นชาวจังหวัดอ่างทอง เกิดเมื่อวันอังคาร เดือนสาม(กุมภาพันธ์) ปีมะเส็ง พุทธศักราช 2436 เป็นบุตรของคุณพ่อแสง แสงศรี และคุณแม่กลิ่น แสงศรีครอบครัวของท่านประกอบอาชีพทำนามาแต่เดิม มีพี่น้องร่วมกัน 5 คนคือ 1.นางขลิบ 2.นางเล็ก 3.นายหาด 4.นางหนู 5. คือหลวงพ่อคำ ซึ่งท่านเป็นคนสุดท้อง ต่อมาโยมพ่อของหลวงพ่อได้ออกบวชและจำพรรษาอยู่ที่วัดอัมพวัน อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง ส่วนท่านเองก็ได้เป็นลูกศิษย์วัดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อท่านมาตั้งแต่อายุ ได้ 8 ขวบ วันหนึ่งหลวงพ่อของท่านเตรียมอัฐบริขารเพื่อออกธุดงค์ ก่อนไปหลวงพ่อของท่านได้บอกกับท่านว่า “พ่อไปนะลูก” สิ้นคำเท่านั้นแล้วหลวงพ่อของท่านก็เดินดุ่มลงกุฏิ ท่านถามหลวงพ่อของท่านว่า “หลวงพ่อจะไปไหน” หลวงพ่อของท่านไม่ตอบยังคงมุ่งหน้าเดินออกจากวัดไป ท่านวิ่งตามและตะโกนถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า สุดท้ายหลวงพ่อของท่านจึงหันมาพูดว่า “ถ้าพ่อไม่เจออาจารย์ดี พ่อจะกลับมาภายใน 1ปี แต่ถ้าพ่อเจออาจารย์ดี ก็อย่าคอยพ่อเลยนะลูก” แล้วท่านก็เดินออกจากวัดไปโดยไม่หันกลับมาอีกเลย
    เมื่อหลวงพ่อคำโตเป็นหนุ่ม จึงได้ข่าวว่า บิดาของท่านรุกขมูลไปอยู่ถ้ำ ทางภาคเหนือชื่อบ้านสระหนองแว้ง บิดาของท่านนอนอาพาธอยู่คนเดียวในถ้ำแต่บ้างก็ว่านอนอาพาธอยู่กลางป่าสัก ชาวบ้านไปพบเข้าจึงนำท่านมารักษาตัวที่วัดอ้อมแก้ว อ.สวรรคโลก จนกระทั่งมรณภาพ ก่อนมรณภาพชาวบ้านได้สอบถาม ชื่อ นามสกุล และชื่อญาติพี่น้องของท่านไว้ หลวงพ่อคำจึงทราบข่าวได้ในภายหลัง
    ครั้งหนึ่งแม่ของหลวงพ่อคำ จะไปขอผู้หญิงมาเป็นภรรยาให้ท่าน แต่หลวงพ่อแอบไปได้ยินผู้หญิงคนนั้นใช้คำพูดรุนแรงขึ้นเสียงกับแม่ของตนเอง หลวงพ่อคำจึงบอกกับแม่ของท่านว่า “หญิงคนนี้ไม่ดี อย่าได้เอามาเป็นเมียเลย” ด้วยอุปนิสัยโน้มเอียงไปสู่การถือเพศพรหมจรรย์ ท่านก็เลยไม่มีภรรยาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

    หลังจากบิดาของหลวงพ่อออกรุกขมูลแล้วหายสาบสูญไป หลวงพ่อคำได้ทำหน้าที่ของความเป็นบุตรผู้รู้กตัญญูกตเวทิตาคุณ ปรนนิบัติเลี้ยงดูผู้เป็นแม่มาโดยตลอด จนกระทั่งแม่ของหลวงพ่อถึงแก่กรรมเมื่ออายุ 82 ปี ขณะนั้นหลวงพ่ออายุ 41 ปี ท่านได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาคุณครั้งสำคัญอีกครั้งโดยการโกนหัวบวชเณร หน้าไฟให้แก่แม่ของท่านที่วัดขุมทรัพย์ อ.เมือง จ.อุทัยธานี แล้วได้ไปหาอาจารย์บุตร ให้พาไปบวชพระที่วัดใหญ่ ต.ท่าฉนวน อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท โดยมีหลวงพ่อปั้น วัดหาดทะนง เป็นพระอุปัชฌาย์ในปี 2482 หลังอุปสมบทแล้วท่านได้ไปเรียนกรรมฐานกับหลวงพ่อทิมวัดบ้านบน ต.ท่าน้ำอ้อย อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ต่อมาในปี 2475 หลวงพ่อได้ออกธุดงค์ไปทางภาคเหนือมุ่งหน้าเข้าสู่ประเทศพม่าเพื่อเสาะหา ศึกษาวิทยาความรู้ต่างๆ และกระทำบำเพ็ญความเพียรทางจิตอย่างจริงจัง
    ประมาณปี 2489 หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สงบ ท่านได้กลับมาจำพรรษาปรนนิบัติรับใช้ หลวงพ่อทิม วัดบ้านบน ผู้เป็นอาจารย์ตามเดิม
    และในปีเดียวกันนั้นเองได้มีผู้ใจบุญผู้หนึ่งชื่อนายรัตน์ นุ่มทองคำ ได้มานิมนต์หลวงพ่อให้ไปช่วยสร้างวัดหัวทะเล ต.น้ำทรง อ.พยุหะ จ.นครสวรรค์
    ที่ดินของวัดหัวทะเล เดิมเป็นที่ของนายถนอม นุ่มทองคำ ซึ่งเป็นพี่ชายของนายรัตน์ นุ่มทองคำ มีเนื้อที่ 10 ไร่ 1งาน แต่เดิมนั้นเป็นพื้นที่รกร้างเต็มไปด้วยป่าหญ้าคาและป่ายางหนาทึบจนแดดส่อง ไม่ถึง หลวงพ่อและลุงรัตน์ ได้เป็นกำลังสำคัญในการชักชวนชาวบ้านบ้าง พระจากวัดบ้านบนบ้าง ร่วมกันหักร้างถางพงบุกเบิกพื้นที่จนเป็นพื้นที่โล่งเตียน หลังจากนั้นลุงรัตน์จึงเริ่มนำวัตถุมงคลของหลวงพ่อคำ บอกหาเงินสร้างกุฏิถวายหลวงพ่อไว้จำพรรษาได้ 1 หลัง และต่อมาลุงรัตน์ก็ยังได้นำวัตถุมงคลของหลวงพ่อบอกบุญหาเงินเพื่อสร้าง ศาสนสถาน ศาสนวัตถุต่างๆขึ้นมา จนกระทั่งมีความเจริญรุ่งเรืองขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึง ทั้งนี้ก็ด้วยอำนาจบุญญาบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ในองค์หลวงพ่อและวัตถุมงคล ของท่านโดยแท้ (หากพิจารณาตามนี้จึงจะพอสันนิษฐานได้ว่าได้มีการริเริ่มสร้างวัตถุมงคลขึ้น มาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2489 – 2490 เรื่อยมาตามลำดับ )

    บุคลิกของหลวงพ่อนั้นหากมองจากหน้าตาท่าทางท่านดูเหมือนท่านจะเป็นคนดุ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านมีอุปนิสัยอ่อนโยน เยือกเย็น มีอัธยาศัยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่สร้างความเชื่อถือศรัทธาและความซาบซึ้งตรึงใจ ให้กับผู้ที่เข้าไปพบปะกราบไหว้ได้อย่างดียิ่ง มีคุณลุงท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่าสมัยหลวงพ่อมีชีวิตอยู่แกไปกราบหลวงพ่อซึ่ง เป็นเวลาที่ค่อนข้างดึกแล้ว แต่หลวงพ่อท่านก็ยังกล่าวทักทายต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีมิได้บ่ายเบี่ยง ด้วยเรื่องเวลาแต่อย่างไร และที่สำคัญหลวงพ่อท่านยังมีน้ำใจชงโอวัลตินให้ลุงดื่มด้วยตัวท่านเอง สร้างความปลาบปลื้มปีติใจให้แก่คุณลุงยิ่งนัก ใครมาใครไปท่านจะบอกให้ทานนู่นทานนี่เท่าที่จะมีอยู่ใกล้ๆตัวท่านอยู่เป็น ประจำ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆในกุฏิท่านใครจะขอเอาไปใช้ทำประโยชน์อย่างไรท่านให้ โดยที่ไม่มีแสดงอาการห่วงหวงเลย ท่านมีอัธยาศัยต้อนรับขับสู้เสมอภาคกันหมดไม่เลือกชนชั้นวรรณะ ไม่แบ่งยศถาบรรดาศักดิ์ ท่านจะทรงไว้ซึ่งพรหมวิหารธรรมอยู่เป็นนิจ และองค์ท่านก็มีจิตวิทยาในการโน้มน้าวจูงใจคนสูง ใครจะมีอุปนิสัยมาอย่างไร ท่านก็คุยเข้ากันได้กับทุกอุปนิสัย ท่านเข้าใจสนทนาหว่านล้อมจนกระทั่งสุดท้ายก็ต้องยอมลงให้แก่ท่าน ท่านก็ได้โอกาสสอดแทรกธรรมมะ หรือคติเตือนใจเข้าไปได้ ญาติโยมเข้ามาหาเครื่องรางของขลัง ท่านก็มักจะสอนให้ปฏิบัติที่ตัวเองมากกว่า เช่นมาหานางกวัก ท่านก็ว่า “จะมาหานางกวักอะไรที่นี่หล่ะ ไปหานางกวักที่บ้านซิดีกว่าเยอะ”โยมก็ไม่เข้าใจว่านางกวักจะมีที่บ้านของเขา ได้อย่างไรก็เลยถามหลวงพ่อว่านางกวักที่บ้านเป็นยังไง หลวงพ่อท่านก็เฉลยให้ฟังว่า “ก็หัวจอบซิจ๊ะ ยิ่งใช้เท่าไรก็ยิ่งรวยเท่านั้น” แม้แต่เรื่องทำบุญท่านก็ว่า “บุญน่ะไม่ใช่จะมาทำที่วัดกันอย่างเดียว กลับไปก็ต้องไปทำที่บ้านด้วย ขยัน อดทน ประหยัด ไม่สุรุ่ยสุร่าย ขยันให้เป็นหลัก ยกตัวอย่างโยมขยันทำนาได้ข้าวมาก ชาวบ้านเขาก็ว่า เอ้อ..ปีนี้มันได้ข้าวเยอะบุญของมันเน๊อะ นี่ไงเล่าบุญ” และโดยเฉพาะเด็กๆท่านจะเอ็นดูมากถ้าท่านเห็น ท่านก็มักจะเรียกมาแจกพระบ้าง แจกขนมนมเนยบ้าง สังเกตได้ว่าเหรียญของท่านจะทำเป็นเหรียญเล็กๆขนาดกะทัดรัดสำหรับคล้องคอ เด็กๆได้เหมาะสม และเหรียญของท่านก็สร้างปาฏิหาริย์ให้กับเด็กๆมามากต่อมากด้วยเช่นกัน ในคอเด็กๆในละแวกนั้นส่วนใหญ่จะมีเหรียญหรือไม่ก็ล๊อคเก๊ตของท่านเกือบทุกคน เด็กๆก็รักและเคารพนับถือท่านมาก บ้างก็ไปปัดกวาดเช็ดถู บ้างก็ไปบีบนวดให้ท่านท่านก็ได้โอกาสอบรมสั่งสอนคุณธรรมให้แก่เด็กๆไปในตัว



    ในสมัยที่ท่านอยู่พวกหมา พวกไก่ใครมาปล่อยไว้หรือพัดหลงมาเองท่านก็มีเมตตารับเลี้ยงไว้หมด คำพูดคำจาของท่านออกจะนุ่มนวลและเป็นกันเองตามแบบฉบับลูกทุ่งโดยแท้ ไม่ว่าเหตุการณ์จะดีร้ายอย่างไร ท่านจะว่า “ ดีจ๊ะดี ” หมด เคยมีโยมท่านหนึ่งมาบอกหลวงพ่อว่าไฟไหม้บ้านเขา หลวงพ่อก็บอกว่า “ไฟไหม้ก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้บ้านใหม่ล่ะซิหว่า” น้ำท่วมอ้อยท่วมข้าวท่านก็ว่าดี “น้ำท่วมก็ดีซิจ๊ะ ก็จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาดูแลมันอีกไงล่ะ” อย่างนี้เป็นต้น เรื่องขันติธรรมท่านก็เป็นหนึ่งตลอดอายุสังขารในเวลาที่ท่านเจ็บป่วย ท่านไม่เคยออกปากขอความช่วยเหลือจากใคร และไม่เคยแสดงอาการให้ใครเห็น เคยมีลูกศิษย์จะพาไปหาหมอ ท่านไม่ยอมไป ท่านว่าของท่านว่า “เป็นเองก็หายเองซิหว่า” ในด้านการขบฉัน ด้วยนิสสัยของพระปฏิบัติที่เคยถือธุดงค์เป็นวัตรทำให้ท่านมีปกติที่จะฉันแบบ เอกา คือการฉันในบาตรแต่อย่างเดียวไม่ใช้ภาชนะอื่น และฉันมื้อเดียว แต่เพื่อไม่ให้ขัดศรัทธาญาติโยมท่านก็ผ่อนปรนลงบ้างในกรณีที่มีกิจนิมนต์ฉัน เพลท่านก็สามารถฉลองศรัทธาได้ไม่ให้เสียกำลังใจญาติโยม เวลาท่านออกบิณฑบาต ท่านจะมีบาตรของท่านติดตัวไปเพียงใบเดียวเท่านั้น ใครจะใส่หวาน ใส่คาว ก็เทใส่รวมลงไปในนั้น บางคนหวังดีไม่อยากให้กับข้าวปนกันเกรงว่าท่านจะฉันไม่ได้รส พอท่านรับบิณฑบาตแล้วลับหลังท่านก็แก้ถุงออกแล้วเทรวมลงไปตามเดิม ท่านบอกของท่านว่า “ อย่างนี้ฉันง่ายดีจ๊ะ ไม่ต้องไปคลุกเคล้า เดี๋ยวก็ลงไปเคล้ากันในท้องอยู่ดีแหละจ๊ะ” เส้นทางที่ท่านใช้บิณฑบาตก็แปลกเช่นกันพอได้เวลาสักประมาณ 4 -5 เย็นท่านจะพาพระลูกวัดปัดกวาดทำความสะอาดทุกวันตั้งแต่ออกจากวัดจนกระทั่ง สุดเส้นทางบิณฑบาตทั้งขาไปและขากลับอยู่เป็นประจำ ท่านเป็นพระขยัน นอกเสียจากเวลาปฏิบัติของท่านแล้ว ท่านมักจะทำนู่นทำนี่อยู่เสมอ กว่าจะเข้ากุฏิจำวัดได้ก็ค่อนข้างดึกบางคราวท่านก็นั่งปฏิบัติทั้งคืน หากจำวัดท่านก็ตื่นแต่เช้าประมาณตี 3 ทำกิจวัตรส่วนตัวทำวัตรสวดมนต์ตามปกติของท่าน สักประมาณตี 4 ท่านก็จะออกปัดกวาดบริเวณวัด พระลูกวัดรูปไหนยังไม่ตื่นท่านก็ไม่ดุไม่ว่าแต่ท่านจะไปเที่ยวกวาดอยู่ใน บริเวณใกล้ๆกุฏิของพระรูปนั้นนั่นเอง นับว่าเป็นอุบายวิธีที่แยบคาย การจำวัดของท่านท่านจะจำวัดในท่าสีหไสยาสน์เสมอ จะเห็นได้จากรูปอิริยาบถต่างๆของท่านที่วัดสุวรรณรัตนาราม และด้วยปฏิปทาจริยาวัตรที่ท่านถือปฏิบัติบ่มเพาะบำเพ็ญเพียรมาอย่างอุกฤษฏ์ นี้เอง จึงเป็นผลให้วัตถุมงคลของท่านทรงอานุภาพศักด์สิทธิ์ แม้แค่เสกเป่าเพียงพ่วงเดียวก็ก่อให้เกิดความเข้มขลังมีประสบการณ์เป็นพยาน ยืนยันมาหลายต่อหลายราย เมื่อจิตของท่านยังทรงกำลังฌานอยู่ ท่านจะกำหนดที่อะไรกะแสจิตก็ยิ่งไวต่อสิ่งนั้น ดังที่ชาวบ้านเกรงบารมีท่านกันนักหนาในเรื่องวาจาสิทธิ์ของท่าน ท่านพูดอย่างไรย่อมเป็นไปอย่างนั้นไม่มีพลาดเลย ยกตัวอย่าง ท่านเห็นญาติโยมที่กราบลากลับไปขึ้นรถกันหมดแล้วแต่ยังไม่ทันได้สตาร์ท เครื่อง ท่านจึงทักว่า “ เอ้า..มันยังไม่ไปกันหรือหว่าน่ะ” ทีนี้เองเจ้าของรถจะสตาร์ทรถอย่างไรก็ไม่ติด พอท่านเห็นท่าไม่ค่อยดีท่านจึงกล่าวว่า “เออ..ไปกันได้แล้ว” เท่านั้นแหละรถก็สตาร์ทติดชึ่ง ได้อย่างง่ายดาย ในสมัยที่ท่านยังมีชีวิตอยู่เล่ากันว่าหากไม่ขออนุญาตท่านแล้วจะถ่ายรูปท่าน อย่างไรก็ถ่ายไม่ติด การล่วงรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สร้างความพิศวงงงงวยให้ กับบุคคลใกล้ชิดอยู่เสมอ เช่น เรื่องของคุณหมอในตลาดพยุหะท่านหนึ่งมากราบหลวงพ่อเมื่อเสร็จธุระแล้วก่อน กลับคุณหมอก็กราบขอพรหลวงพ่อ แต่คราวนี้แทนที่หลวงพ่อจะให้พรตามปกติ หลวงพ่อกลับกล่าวทักขึ้นมาว่า เออ..ไปเถอะอย่างหมอเนี่ยถึงชนกันก็ไม่ตาย คุณหมอก็งงๆกับพรของหลวงพ่อเช่นกัน แต่เมื่อขับรถมาถึงสี่แยกพยุหะปรากฏว่ามีรถวิ่งเข้ามาชนรถคุณหมอจริงๆ สภาพรถยับเยินแต่คุณหมอไม่ได้รับอันตรายแต่อย่างไร



    ในเรื่องโชคลาภนั้นมีอยู่มากมายเช่นกัน อย่างเช่นคราวหนึ่งเมื่อนายโย มากราบหลวงพ่อแต่การกราบคราวนี้ต่างจากการเข้ามากราบทุกๆครั้ง เนื่องจากเมื่อนายโยก้มกราบหลวงพ่อแล้ว หลวงพ่อกลับใช้เท้าเหยียบลงไปบนหัวของนายโย สร้างความประหลาดใจให้กับนายโยเป็นอย่างมาก และในงวดนั้นนั่นเองปรากฏว่านายโยถูกล๊อตตารี่รางวัลที่ 1 อย่างไม่คาดคิด คราวนี้เองนายโยจึงเข้าใจพระคุณรอยเท้าหลวงพ่อที่ประทับลงมาบนศรีษะว่ามี ความหมายและเป็นศิริมงคลต่อตนอย่างไร
    มีโยมคนหนึ่งมาขอหวยจากหลวงพ่อ แต่หลวงพ่อก็ปฏิเสธบ่ายเบี่ยงว่าท่านไม่รู้หรอกว่าหวยมันจะออกเลขอะไรถ้า อยากรู้ก็ให้ไปถามกองสลากกินแบ่งโน่น โยมบอกว่าไปไม่ถูกแต่เขาได้เลข 82 มาจากหลวงพ่ออื่น หลวงพ่อก็เลยควักแบงค์ 20 ฝากโยมซื้อหวยเลขนั้นด้วย “งั้นข้าฝากซื้อ 20 นะ” ชาวบ้านเห็นหลวงพ่อซื้อเลข 82 ก็พากันซื้อเลข 82 กันยกใหญ่ ปรากฏว่าหวยงวดนั้นออก 20 ชาวบ้านได้ยินแล้วหงายท้องตามๆกันที่สำคัญความหมายของหลวงพ่อผิด
    คุณลุงอีกท่านบ้านอยู่ทางวัดดงขวาง จ.อุทัยธานีเล่าว่า ตอนแกบวชแกไปสึกกับหลวงพ่อคำ(แกเล่าว่าตอนนั้นหลวงพ่ออยู่ที่วัดอีเติ่ง) แกแลเห็นกุฏิหลวงพ่อจุดเทียนสว่างจนดึกจนดื่นด้วยความสงสัยแกจึงแอบดู ปรากฏว่าหลวงพ่อท่านนั่งสมาธิตลอดทั้งคืน เมื่อตอนหัวค่ำหลังจากที่พระลูกวัดแยกย้ายกันไปจำวัดแล้วแกก็เห็นหลวงพ่อ เดินไปเดินมา เหมือนกับเดินจงกรมแต่แกก็ไม่ได้เอะใจอะไร ต่อเมื่อฟ้าสว่างท่านเดินผ่านกุฏิหลวงพ่ออีกครั้ง ทำให้ลุงแกถึงกับอึ้ง..เพราะปรากฎว่าหลังกุฏิหลวงพ่อเป็นลำคลองที่มีน้ำอยู่ เต็มตลิ่ง นอกจากนั้นลุงท่านนี้ยังเล่าว่าหลวงพ่อท่านกล่าวถึงหลวงปู่แหวนวัดดอยแม่ ปั๋ง เหมือนกับท่านไปมาหาสู่กันอยู่เสมอทั้งๆที่หลวงพ่อท่านก็ไม่ได้ไปไหนไกลเลย
    สำหรับข้อห้ามในการใช้เครื่องรางของขลังของหลวงพ่อ ท่านไม่มีข้อห้ามยุ่งยากเหมือนหลวงปู่หลวงพ่อท่านอื่นๆเลย ท่านห้ามผิดศีลข้อ 3 เป็นหลัก และก็ห้ามด่าพ่อด่าแม่ เท่านั้นเอง ท่านว่า ทองคำอย่างไรก็เป็นทองคำ ตกน้ำก็เป็นทองคำ ตกไฟละลายแล้วก็ยังเป็นทองคำ อยู่วันยันค่ำ
    ความมหัศจรรย์ในองค์ท่านผู้เฒ่าผู้แก่กล่าวว่าเล่าวันนึงก็ไม่หมด ด้วยเหตุที่หลวงพ่อเป็นพระผู้นั่งอยู่เหนือเกล้าเหนือกระหม่อมของชาวบ้านทุก เพศทุกวัยจึงพูดได้เต็มปากว่าท่านเป็นเสมือนหนึ่ง “เทพเจ้าแห่งน้ำทรง”
    ขอบคุณข้อมูลดีๆจากคุณฝุ่นดิน (สูญญากาศ) และคุณสิทธิ์พยุหะ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จคะแนนเนื้อผงน้ำมันหลวงปู่คำรุ่นประสบการณ์ ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250303_181816.jpg IMG_20250303_181852.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1741003552856.jpg
    หลวงพ่อบุญมี จิตฺตธโม
    วัดม่วงคัน อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง
    (อาจารย์ศุภักษร ลอยสุวรรณ์ เคยไปขอคำแนะนำเรื่องยันต์เกราะเพชรกับหลวงพ่อ ซึ่งหลวงพ่อได้มีเมตตาบอกเคล็ดลับให้แก่อาจารย์)
    เดิมชื่อ บุญมี ขอพึ่ง เกิดเมื่อวันอังคารที่ 23สิงหาคม2470 ณ บ้านม่วงคัน บ้านเลขที่80หมู่10 ต.รำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง บิดาชื่อ ชั้น ขอพึ่ง มารดาชื่อ เจียก ขอพึ่ง(นามสกุลเดิม ศรีสวัสดิ์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด7คน ดังนี้
    1.หลวงพ่อบุญมี
    2.น้อง-เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์
    3.นายเพี้ยม ขอพึ่ง
    4.นางบาง เงื่อนงาม
    5.นายเชิด ขอพึ่ง
    6.นายบุญช่่วย ขอพึ่ง
    7.นายชอบ ขอพึ่ง
    #การศึกษา
    หลวงพ่อบุญมีได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลวัดม่วงคันจบชั้นประถมศึกษาปีที่4เมื่อปี พ.ศ.2482
    #บรรพชา
    เมื่อวันที่20เมษายน2492ที่วัดนางในธรรมิการาม อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
    โดยมีหลวงพ่อนุ่มเป็นผู้บวชให้
    #อุปสมบท
    เมื่อวันที่5พฤษภาคม2492 ณ พัทธสีมาวัดม่วงคัน ต.รำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมี
    ..พระอธิการนุ่ม ธมฺราโม เป็นพระอุปัชฌาย์
    ..พระครูสุนทรสีลคุณ(หลวงพ่อชม)
    เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    ..พระครูสุภัทรโสภณ(หลวงพ่อทรง)
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    เมื่อหลวงพ่อบุญมีอุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดนางในเพื่อปรนนิบัติรับใช้และศึกษาวิชาไสย์เวทย์ต่างๆจากหลวงพ่อนุ่มเป็นเวลา4พรรษา หลวงพ่อบุญมีนับเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศท่านสามารถท่องปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาต้นๆรวมถึงการท่องจำตำราโบราณที่หลวงพ่อนุ่มให้ศึกษาและจดจำได้อย่างแม่นยำ ในระหว่างอยู่วัดนางในนี้หลวงพ่อยังได้หลวงพ่อชมคอยช่วยแนะนำและถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับหลวงพ่อบุญมีอีกทางนับว่าหลวงพ่อชมเปรียบเหมือนอาจารย์อีก1องค์ของหลวงพ่อก็ไม่ผิดหลังจากนั้นหลวงพ่อบุญมีได้ขออนุญาตหลวงพ่อนุ่มย้ายสำนักไปยังวัดยางมณีเพื่อไปเรียนทางด้านกรรมฐานกับหลวงพ่อชวนและสำเร็จวิชาเชือกกลีบซึ่งถือเป็นวิชาเด็ดของหลวงพ่อชวนเลยทีเดียวใครมีต่างก็หวงแหนเพราะประสบการณ์สูงและปัจจุบันหาชมตัวจริงได้ยาก(เสียดายที่หลวงพ่อบุญมีไม่เคยได้สร้างเชือกลีบไว้ให้ลูกศิษย์ได้บูชาเลย)หลวงพ่อบุญมีอยู่กับหลวงพ่อชวน1พรรษาก็ย้ายกลับมาวัดนางในและได้ขออนุญาตหลวงพ่อนุ่มออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วันขุนอินทร์ วัดพระนอนจักรสีห์ วัดเขาสมอคอน วัดเขาวงพระจันทร์ เดินทางเข้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมาเข้าดงพญาไฟ นครนายก กลับเข้าสระบุรี สักการะพระพุทธบาทแล้วจึงกลับจังหวัดอ่างทอง
    หลวงพ่อบุญมีกลับมาอยู่วัดม่วงคันเมื่อปี2496เพราะต้องมารักษาการแทนเจ้าอาวาสต่อจากพระอธิการ ผล ยสทินฺโน หลังจากที่หลวงพ่อได้กลับมาอยู่วัดม่วงคันแล้วหลวงพ่อบุญมีได้รับการชวนจากเพื่อนสนิทหรือสหธรรมิกนั่นคือหลวงพ่อเกรียงวัดวังน้ำเย็นศิษย์เอกหลวงพ่อซวงวัดชีปะขาวให้หลวงพ่อบุญมีไปศึกษายังสำนักวัดชีปะขาวกับหลวงพ่อซวงหลวงพ่อบุญมีจึงมีโอกาสรับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากตำราของหลวงพ่อซวงอยู่อีก2พรรษาครับ
    #ไม่ถือชั้นวรรณะ
    #จากคำบอกเล่าของพระมหาจำเริญเจ้าอาวาสวัดนิเวศน์ธรรมารามหรือวัดวังยายหุ่นองค์ปัจจุบัน ในงานวันถวายน้ำหลวงอาบศพหลวงพ่อพลวัดวังยายหุ่นในงานนั้นมีพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเป็นสหธรรมมิกกันได้มาร่วมงานในวันนั้น ด้วยเห็นว่าพระรูปนี้มีอายุพรรษามากแต่ท่านไม่แสดงออกถึงตำแหน่งหรือสมณศักดิ์แต่อย่างใดพระเถระรูปนั้นไปนั่งบนอาสนะสงฆ์ท้ายศาลาการเปรียญ กระผมเองก็อยู่ในงานนั้นด้วยก็เลยเห็นภาพแบบนั้น แม้ในช่วงบำเพ็ญกุศลศพสวดพระอภิธรรมก็เช่นเดียวกันท่านมักจะไปนั่งในที่ลับตาคนเสมอ ต่อมาเริ่มรู้จักจากการเข้าไปถวายน้ำร้อนน้ำชาเลยทำให้รู้จักชื่อของหลวงพ่อบุญมีเป็นต้นมา
    #อำนาจแห่งจิต
    ในยุคพรรษาต้นๆถึงกลางเมื่อเอ่ยถึงชื่อหลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคันนั้นชาวบ้านในพื้นที่และละแวกไกล้เคียงจะต้องนึกถึงความดุและความเป็นระเบียบของหลวงพ่อนั้นขึ้นชื่อเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าใครที่มาบวชกับหลวงพ่อแล้วท่องขานนาคผิดๆถูกๆนั้นถึงขั้นขันลอยกระโถนลอยกันจนหัวโนก็มีกันมาแล้ว(หลวงพ่อท่านนั้นให้ความสำคัญกับการบวชและการปฏิบัติตนเป็นอย่างมากลูกศิษย์คนไหนที่ไม่มีความตั้งใจจริงก็จะเจอแบบนี้ทุกราย)หรือแม้แต่ในเรื่องการตากจีวรของพระเณรในวัดถ้าวางพาดๆกับราวตากผ้าส่งเดชไม่เป็นระเบียบหลวงพ่อเห็นเมื่อใดท่านจะโยนลงข้างล่างกุฏิทันทีแล้วให้เก็บขึ้นมาตากใหม่ให้เรียบร้อย(ท่านใดเคยไปกราบหลวงพ่อที่วัดคงได้เห็นว่าวัดม่วงคันนั้นดูสะอาดและเป็นระเบียบเสมอมา)ลุงท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังตอนที่ท่านบวชอยู่กับหลวงพ่อถือว่าเป็นสมัยแรกๆเลย หลวงพ่อจะตรวจดูความเป็นอยู่ของพระเณรในแต่ละห้องเป็นประจำในวันนั้นลุงท่านนี้ได้ล๊อคห้องเนื่องจากไม่สบายเลยนอนตื่นสายด้วยกลอนสมัยก่อนจะเป็นแบบสอดไม้ขัดในช่องล๊อคจากด้านในคนข้างนอกไม่มีทางที่จะแงะหรือเปิดเข้ามาได้เลย จนได้ยินเสียงดัง แกร๊ก ไม้ขัดร่วงลงกระทบพื้นกระดานลุงเลยลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับตกใจ ปรากฏว่าหลวงพ่อบุญมีมายืนข้างๆท่านแล้ว จึงบอกหลวงพ่อว่าไม่สบายท่านก็อนุญาตให้นอนต่อ ลุงแกบอกว่าทั้งแปลกใจทั้งขนลุกเลยทีเดียวเพราะไม่รู้ว่าหลวงพ่อเข้ามาได้ยังไงลองเอาไม้ไปขัดดูแล้วหาวิธีก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะไม้ขัดหลุดได้อย่างแน่นอน ไม่กล้าถามหลวงพ่อเดี๋ยวแกดุเอาและยังข้องใจจนถึงทุกวันนี้
    #อำนาจแห่งจิต2
    หากเอ่ยถึงตำนานเหรียญบิน(ปลุกเสกจนเหรียญขยับหรือกระเด็นออกจากภาชนะที่ใส่)ของอ่างทองย่อมหนีไม่พ้นชื่อของหลวงปู่ทรงวัดศาลาดินเข้ามาอยู่ในหัวเป็นชื่อแรกถือได้ว่านักสะสมพระเครื่องสายอ่างทองไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของหลวงปู่ทรงและตำนานเหรียญบินเมื่อครั้งพิธีปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกในปี2513 หลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคัน ถ้าจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อบุญมีกับหลวงปู่ทรงนั้น หลวงปู่ทรงท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับหลวงพ่อบุญมีถือเป็นอาจารย์อีกองค์ที่หลวงพ่อบุญมีให้ความเคารพนับถือ(ดังที่หลวงพ่อเคยประกาศไว้)เฉกเช่นเดียวกับหลวงพ่อชมซึ่งเปรียบเหมือนพระพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้กับหลวงพ่อบุญมี หลายปีมาแล้วผมเคยคุยกับหมอท่านหนึ่งและแฟนของแกบ้านอยู่แถวห้วยราชคราม เรื่องมีอยู่ว่าลูกชาย(หรือหลานของแกขออภัยตรงนี้ความจำผมลางเลือนขอใช้เป็นลูกชายก็แล้วกันครับ)แกเล่าว่าลูกชายได้บวชอยู่ที่วัดม่วงคัน คืนหนึ่งได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อจะเข้าห้องน้ำได้เห็นแสงสว่างส่องลอดร่องประตูที่เปิดอ้าไว้จากกุฏิของหลวงพ่อบุญมีจึงมองเข้าไปภาพที่เห็นคือ เห็นหลวงพ่อนังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่แปลกอะไรแต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงนั่นคือได้เห็นเหรียญที่หลวงพ่อเสกอยู่ค่อยๆเอ่อล้นทะลักร่วงหล่นออกจากบาตรทีละเหรียญ2เหรียญ จึงได้นำเหตุการณ์ที่ได้เห็นเต็ม2ตาครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังจึงได้ทำให้หมอท่านนี้ศรัทธาหลวงพ่อเป็นอย่างมากและเก็บวัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกรุ่นครับแค่รุ่นแรกที่เอามาให้ผมดูไม่ต่ำกว่า20เหรียญ
    #อำนาจแห่งจิต3
    เรื่องนี้ได้ฟังมาหลายท่านแล้วเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้คล้ายๆกันผมจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าได้ไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่ง หนึ่งในเกจิที่ร่วมปลุกเสกด้วยคือหลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคันศิษย์ท่านนี้เห็นหลวงพ่อตอนเดินเข้าไปในพระอุโบสถก็ตั้งใจว่าพอเสร็จพิธีจะรอหลวงพ่อเดินออกหน้าประตูตั้งใจว่าจะกราบหลวงพ่อแล้วให้ท่านเป่าหัวสักครั้ง พอพิธีเสร็จก็รอจนหลวงพ่อท่านอื่นออกไปกันหมดแล้วปรากฏว่าไม่เห็นหลวงพ่อบุญมีเดินออกมาทั้งๆที่ทางออกก็มีทางเดียวจึงถามเพื่อนๆที่ไปด้วยปรากฏว่าไม่มีใครเห็นหลวงพ่อบุญมีเลยศิษย์ท่านนี้ก็เก็บความสงสัยไว้ตลอดจนมาเจอหลวงพ่ออีกครั้งในงานปลุกเสกวัตถุมงคลจึงได้ชิงถามหลวงพ่อว่าในงานปลุกเสกวัด...ผมเห็นหลวงพ่อเดินเข้าโบสถ์แต่ตอนออกผมรอจะกราบหลวงพ่อทำไมผมไม่เห็นหลวงพ่อครับเพื่อนๆที่ไปด้วยก็ไม่มีใครเห็น หลวงพ่อก็หัวเราะแล้วพูดว่า กันก็เดินออกมาเฉยๆ ที่แปลกเพราะผมได้ฟังเหตุการณ์แบบนี้มาหลายคนแล้ว
    #อำนาจแห่งจิตครั้งสุดท้าย
    เมื่อครั้งที่วัดม่วงคันมีงานบำเพ็ญกุศลศพของ นายฮุ้ย แซ่ตัน ซึ่งเป็นญาติของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็พูดกับญาติและผู้ร่วมงานศพหลายคนว่า "เอ้อๆงานตาฮุ้ยเป็นงานที่4งานที่5ก็ต้องเป็นงานของกันนะ"(หลวงพ่อเรียกแทนตัวท่านเองว่า กัน)ทุกคนที่ได้ยินต่างก็คิดว่าทำไมหลวงพ่อถึงพูดอย่างนี้
    ในเวลาบ่าย2โมงหลวงพ่อกลับจากกิจนิมนต์ มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งก้มลงกราบหลวงพ่อพอเงยหน้าขึ้นหลวงพ่อก็โยนซองขาวไปให้ลูกศิษย์เมื่อเปิดดูจึงพบว่ามีเงินอยู่2500บาทต่อจากนั้นหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า "เงินจำนวนนี้เอาไว้ถวายพระในงานศพของกัน"(หลวงพ่อเรียกแทนตัวท่านเองว่า กัน )ลูกศิษย์จึงรับไว้ด้วยความงงๆแล้วเรียนถามเล่นๆกับหลวงพ่อว่าเงินแค่2500จะพอหรือครับหลวงพ่อ ท่านตอบว่า"ถวายเท่านี้แหละ" 16พฤศจิกายนหวยออก 25
    วันที่23มกราคม2558 หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปร่วมงานศพผู้ใหญ่ จำรัส แต่งงาม ที่วัดวังน้ำเย็น ในงานนั้นได้พบกับศิษย์ท่านหนึ่งหลวงพ่อได้บอกกับศิษย์ท่านนั้นว่า พรุ่งนี้ไปพบฉันที่วัดหน่อย พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ท่านนั้นได้เดินทางไปที่วัดม่วงคันหลวงพ่อจึงบอกให้โทรตามศิษย์อีก2คนเมื่อศิษย์ทั้ง3มาพร้อมกันหลวงพ่อจึงบอกให้เขียนพินัยกรรม โดยให้เขียนมีเนื้อหาว่า งานศพฉันไม่ต้องสวดนานให้รีบเผาโดยเร็วที่สุดดอกไม้ไม่ต้องหามากปี่พาทย์ไม่ต้องหามาให้จัดแบบเรียบง่ายไม่ให้สิ้นเปลือง และเรื่องสำคัญหลวงพ่อท่านบอกว่า เงินในบัญชีฉันมีอยู่แปดแสนบาทเศษรีบไปดำเนินการเตรียมเบิกมาใช้ในงานศพของฉันให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามเกิดอาการงงต่างคิดกันว่าเพราะเหตุใดหลวงพ่อจึงพูดอย่างนี้เพราะว่าท่านยังมีสุขภาพดีไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใดที่บ่งบอกว่าหลวงพ่อจะต้องถึงแก่มรณภาพ
    จนถึงวันที่13กุมภาพันธ์2558หลวงพ่อมีอาการหนาวสั่นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คณะศิษย์จึงได้นำหลวงพ่อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอ่างทองเวชการจากนั้นคณะแพทย์ได้ส่งหลวงพ่อไปรักษายังโรงพยาบาลศูนย์สระบุรี จนกระทั่งวันศุกร์ที่27กุมภาพันธ์2558อันเป็นวาระสุดท้ายของหลวงพ่อในเวลา22.45น.หลวงพ่อได้ละสังขารลงด้วยอาการสงบหลวงพ่อบุญมีจิตฺตธโม เดิมชื่อ บุญมี ขอพึ่ง เกิดเมื่อวันอังคารที่ 23สิงหาคม2470 ณ บ้านม่วงคัน บ้านเลขที่80หมู่10 ต.รำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง บิดาชื่อ ชั้น ขอพึ่ง มารดาชื่อ เจียก ขอพึ่ง(นามสกุลเดิม ศรีสวัสดิ์) มีพี่น้องร่วมบิดามารดาทั้งหมด7คน ดังนี้
    1.หลวงพ่อบุญมี
    2.น้อง-เสียชีวิตตั้งแต่ยังเยาว์
    3.นายเพี้ยม ขอพึ่ง
    4.นางบาง เงื่อนงาม
    5.นายเชิด ขอพึ่ง
    6.นายบุญช่่วย ขอพึ่ง
    7.นายชอบ ขอพึ่ง
    #การศึกษา
    หลวงพ่อบุญมีได้เข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนประชาบาลวัดม่วงคันจบชั้นประถมศึกษาปีที่4เมื่อปี พ.ศ.2482
    #บรรพชา
    เมื่อวันที่20เมษายน2492ที่วัดนางในธรรมิการาม อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง
    โดยมีหลวงพ่อนุ่มเป็นผู้บวชให้
    #อุปสมบท
    เมื่อวันที่5พฤษภาคม2492 ณ พัทธสีมาวัดม่วงคัน ต.รำมะสัก อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง โดยมี
    ..พระอธิการนุ่ม ธมฺราโม เป็นพระอุปัชฌาย์
    ..พระครูสุนทรสีลคุณ(หลวงพ่อชม)
    เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    ..พระครูสุภัทรโสภณ(หลวงพ่อทรง)
    เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    เมื่อหลวงพ่อบุญมีอุปสมบทแล้วได้เดินทางไปจำพรรษาที่วัดนางในเพื่อปรนนิบัติรับใช้และศึกษาวิชาไสย์เวทย์ต่างๆจากหลวงพ่อนุ่มเป็นเวลา4พรรษา หลวงพ่อบุญมีนับเป็นผู้ที่มีความจำเป็นเลิศท่านสามารถท่องปาฏิโมกข์ได้ตั้งแต่พรรษาต้นๆรวมถึงการท่องจำตำราโบราณที่หลวงพ่อนุ่มให้ศึกษาและจดจำได้อย่างแม่นยำ ในระหว่างอยู่วัดนางในนี้หลวงพ่อยังได้หลวงพ่อชมคอยช่วยแนะนำและถ่ายทอดวิชาความรู้ให้กับหลวงพ่อบุญมีอีกทางนับว่าหลวงพ่อชมเปรียบเหมือนอาจารย์อีก1องค์ของหลวงพ่อก็ไม่ผิดหลังจากนั้นหลวงพ่อบุญมีได้ขออนุญาตหลวงพ่อนุ่มย้ายสำนักไปยังวัดยางมณีเพื่อไปเรียนทางด้านกรรมฐานกับหลวงพ่อชวนและสำเร็จวิชาเชือกกลีบซึ่งถือเป็นวิชาเด็ดของหลวงพ่อชวนเลยทีเดียวใครมีต่างก็หวงแหนเพราะประสบการณ์สูงและปัจจุบันหาชมตัวจริงได้ยาก(เสียดายที่หลวงพ่อบุญมีไม่เคยได้สร้างเชือกลีบไว้ให้ลูกศิษย์ได้บูชาเลย)หลวงพ่อบุญมีอยู่กับหลวงพ่อชวน1พรรษาก็ย้ายกลับมาวัดนางในและได้ขออนุญาตหลวงพ่อนุ่มออกธุดงค์ไปตามสถานที่ต่างๆ เช่น วันขุนอินทร์ วัดพระนอนจักรสีห์ วัดเขาสมอคอน วัดเขาวงพระจันทร์ เดินทางเข้าจังหวัดเพชรบูรณ์ ชัยภูมิ ขอนแก่น นครราชสีมาเข้าดงพญาไฟ นครนายก กลับเข้าสระบุรี สักการะพระพุทธบาทแล้วจึงกลับจังหวัดอ่างทอง
    หลวงพ่อบุญมีกลับมาอยู่วัดม่วงคันเมื่อปี2496เพราะต้องมารักษาการแทนเจ้าอาวาสต่อจากพระอธิการ ผล ยสทินฺโน หลังจากที่หลวงพ่อได้กลับมาอยู่วัดม่วงคันแล้วหลวงพ่อบุญมีได้รับการชวนจากเพื่อนสนิทหรือสหธรรมิกนั่นคือหลวงพ่อเกรียงวัดวังน้ำเย็นศิษย์เอกหลวงพ่อซวงวัดชีปะขาวให้หลวงพ่อบุญมีไปศึกษายังสำนักวัดชีปะขาวกับหลวงพ่อซวงหลวงพ่อบุญมีจึงมีโอกาสรับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากตำราของหลวงพ่อซวงอยู่อีก2พรรษาครับ
    #ไม่ถือชั้นวรรณะ
    #จากคำบอกเล่าของพระมหาจำเริญเจ้าอาวาสวัดนิเวศน์ธรรมารามหรือวัดวังยายหุ่นองค์ปัจจุบัน ในงานวันถวายน้ำหลวงอาบศพหลวงพ่อพลวัดวังยายหุ่นในงานนั้นมีพระเถระรูปหนึ่งซึ่งเป็นสหธรรมมิกกันได้มาร่วมงานในวันนั้น ด้วยเห็นว่าพระรูปนี้มีอายุพรรษามากแต่ท่านไม่แสดงออกถึงตำแหน่งหรือสมณศักดิ์แต่อย่างใดพระเถระรูปนั้นไปนั่งบนอาสนะสงฆ์ท้ายศาลาการเปรียญ กระผมเองก็อยู่ในงานนั้นด้วยก็เลยเห็นภาพแบบนั้น แม้ในช่วงบำเพ็ญกุศลศพสวดพระอภิธรรมก็เช่นเดียวกันท่านมักจะไปนั่งในที่ลับตาคนเสมอ ต่อมาเริ่มรู้จักจากการเข้าไปถวายน้ำร้อนน้ำชาเลยทำให้รู้จักชื่อของหลวงพ่อบุญมีเป็นต้นมา
    #อำนาจแห่งจิต
    ในยุคพรรษาต้นๆถึงกลางเมื่อเอ่ยถึงชื่อหลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคันนั้นชาวบ้านในพื้นที่และละแวกไกล้เคียงจะต้องนึกถึงความดุและความเป็นระเบียบของหลวงพ่อนั้นขึ้นชื่อเลยทีเดียว ชนิดที่ว่าใครที่มาบวชกับหลวงพ่อแล้วท่องขานนาคผิดๆถูกๆนั้นถึงขั้นขันลอยกระโถนลอยกันจนหัวโนก็มีกันมาแล้ว(หลวงพ่อท่านนั้นให้ความสำคัญกับการบวชและการปฏิบัติตนเป็นอย่างมากลูกศิษย์คนไหนที่ไม่มีความตั้งใจจริงก็จะเจอแบบนี้ทุกราย)หรือแม้แต่ในเรื่องการตากจีวรของพระเณรในวัดถ้าวางพาดๆกับราวตากผ้าส่งเดชไม่เป็นระเบียบหลวงพ่อเห็นเมื่อใดท่านจะโยนลงข้างล่างกุฏิทันทีแล้วให้เก็บขึ้นมาตากใหม่ให้เรียบร้อย(ท่านใดเคยไปกราบหลวงพ่อที่วัดคงได้เห็นว่าวัดม่วงคันนั้นดูสะอาดและเป็นระเบียบเสมอมา)ลุงท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังตอนที่ท่านบวชอยู่กับหลวงพ่อถือว่าเป็นสมัยแรกๆเลย หลวงพ่อจะตรวจดูความเป็นอยู่ของพระเณรในแต่ละห้องเป็นประจำในวันนั้นลุงท่านนี้ได้ล๊อคห้องเนื่องจากไม่สบายเลยนอนตื่นสายด้วยกลอนสมัยก่อนจะเป็นแบบสอดไม้ขัดในช่องล๊อคจากด้านในคนข้างนอกไม่มีทางที่จะแงะหรือเปิดเข้ามาได้เลย จนได้ยินเสียงดัง แกร๊ก ไม้ขัดร่วงลงกระทบพื้นกระดานลุงเลยลืมตาตื่นขึ้นพร้อมกับตกใจ ปรากฏว่าหลวงพ่อบุญมีมายืนข้างๆท่านแล้ว จึงบอกหลวงพ่อว่าไม่สบายท่านก็อนุญาตให้นอนต่อ ลุงแกบอกว่าทั้งแปลกใจทั้งขนลุกเลยทีเดียวเพราะไม่รู้ว่าหลวงพ่อเข้ามาได้ยังไงลองเอาไม้ไปขัดดูแล้วหาวิธีก็ไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะไม้ขัดหลุดได้อย่างแน่นอน ไม่กล้าถามหลวงพ่อเดี๋ยวแกดุเอาและยังข้องใจจนถึงทุกวันนี้
    #อำนาจแห่งจิต2
    หากเอ่ยถึงตำนานเหรียญบิน(ปลุกเสกจนเหรียญขยับหรือกระเด็นออกจากภาชนะที่ใส่)ของอ่างทองย่อมหนีไม่พ้นชื่อของหลวงปู่ทรงวัดศาลาดินเข้ามาอยู่ในหัวเป็นชื่อแรกถือได้ว่านักสะสมพระเครื่องสายอ่างทองไม่มีใครไม่รู้จักชื่อของหลวงปู่ทรงและตำนานเหรียญบินเมื่อครั้งพิธีปลุกเสกเหรียญรุ่นแรกในปี2513 หลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคัน ถ้าจะโยงความสัมพันธ์ระหว่างหลวงพ่อบุญมีกับหลวงปู่ทรงนั้น หลวงปู่ทรงท่านเป็นพระกรรมวาจาจารย์ให้กับหลวงพ่อบุญมีถือเป็นอาจารย์อีกองค์ที่หลวงพ่อบุญมีให้ความเคารพนับถือ(ดังที่หลวงพ่อเคยประกาศไว้)เฉกเช่นเดียวกับหลวงพ่อชมซึ่งเปรียบเหมือนพระพี่เลี้ยงคอยแนะนำให้กับหลวงพ่อบุญมี หลายปีมาแล้วผมเคยคุยกับหมอท่านหนึ่งและแฟนของแกบ้านอยู่แถวห้วยราชคราม เรื่องมีอยู่ว่าลูกชาย(หรือหลานของแกขออภัยตรงนี้ความจำผมลางเลือนขอใช้เป็นลูกชายก็แล้วกันครับ)แกเล่าว่าลูกชายได้บวชอยู่ที่วัดม่วงคัน คืนหนึ่งได้ตื่นขึ้นมากลางดึกเพื่อจะเข้าห้องน้ำได้เห็นแสงสว่างส่องลอดร่องประตูที่เปิดอ้าไว้จากกุฏิของหลวงพ่อบุญมีจึงมองเข้าไปภาพที่เห็นคือ เห็นหลวงพ่อนังปลุกเสกวัตถุมงคลอยู่ก็ถือเป็นเรื่องปกติไม่แปลกอะไรแต่สิ่งที่ทำให้ตกตะลึงนั่นคือได้เห็นเหรียญที่หลวงพ่อเสกอยู่ค่อยๆเอ่อล้นทะลักร่วงหล่นออกจากบาตรทีละเหรียญ2เหรียญ จึงได้นำเหตุการณ์ที่ได้เห็นเต็ม2ตาครั้งนั้นมาเล่าให้ฟังจึงได้ทำให้หมอท่านนี้ศรัทธาหลวงพ่อเป็นอย่างมากและเก็บวัตถุมงคลของหลวงพ่อทุกรุ่นครับแค่รุ่นแรกที่เอามาให้ผมดูไม่ต่ำกว่า20เหรียญ
    #อำนาจแห่งจิต3
    เรื่องนี้ได้ฟังมาหลายท่านแล้วเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจมากที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้คล้ายๆกันผมจะยกตัวอย่างท่านหนึ่งเล่าให้ผมฟังว่าได้ไปร่วมพิธีปลุกเสกวัตถุมงคลที่วัดแห่งหนึ่ง หนึ่งในเกจิที่ร่วมปลุกเสกด้วยคือหลวงพ่อบุญมีวัดม่วงคันศิษย์ท่านนี้เห็นหลวงพ่อตอนเดินเข้าไปในพระอุโบสถก็ตั้งใจว่าพอเสร็จพิธีจะรอหลวงพ่อเดินออกหน้าประตูตั้งใจว่าจะกราบหลวงพ่อแล้วให้ท่านเป่าหัวสักครั้ง พอพิธีเสร็จก็รอจนหลวงพ่อท่านอื่นออกไปกันหมดแล้วปรากฏว่าไม่เห็นหลวงพ่อบุญมีเดินออกมาทั้งๆที่ทางออกก็มีทางเดียวจึงถามเพื่อนๆที่ไปด้วยปรากฏว่าไม่มีใครเห็นหลวงพ่อบุญมีเลยศิษย์ท่านนี้ก็เก็บความสงสัยไว้ตลอดจนมาเจอหลวงพ่ออีกครั้งในงานปลุกเสกวัตถุมงคลจึงได้ชิงถามหลวงพ่อว่าในงานปลุกเสกวัด...ผมเห็นหลวงพ่อเดินเข้าโบสถ์แต่ตอนออกผมรอจะกราบหลวงพ่อทำไมผมไม่เห็นหลวงพ่อครับเพื่อนๆที่ไปด้วยก็ไม่มีใครเห็น หลวงพ่อก็หัวเราะแล้วพูดว่า กันก็เดินออกมาเฉยๆ ที่แปลกเพราะผมได้ฟังเหตุการณ์แบบนี้มาหลายคนแล้ว
    #อำนาจแห่งจิตครั้งสุดท้าย
    เมื่อครั้งที่วัดม่วงคันมีงานบำเพ็ญกุศลศพของ นายฮุ้ย แซ่ตัน ซึ่งเป็นญาติของหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็พูดกับญาติและผู้ร่วมงานศพหลายคนว่า "เอ้อๆงานตาฮุ้ยเป็นงานที่4งานที่5ก็ต้องเป็นงานของกันนะ"(หลวงพ่อเรียกแทนตัวท่านเองว่า กัน)ทุกคนที่ได้ยินต่างก็คิดว่าทำไมหลวงพ่อถึงพูดอย่างนี้
    ในเวลาบ่าย2โมงหลวงพ่อกลับจากกิจนิมนต์ มีลูกศิษย์ท่านหนึ่งก้มลงกราบหลวงพ่อพอเงยหน้าขึ้นหลวงพ่อก็โยนซองขาวไปให้ลูกศิษย์เมื่อเปิดดูจึงพบว่ามีเงินอยู่2500บาทต่อจากนั้นหลวงพ่อก็พูดขึ้นมาว่า "เงินจำนวนนี้เอาไว้ถวายพระในงานศพของกัน"(หลวงพ่อเรียกแทนตัวท่านเองว่า กัน )ลูกศิษย์จึงรับไว้ด้วยความงงๆแล้วเรียนถามเล่นๆกับหลวงพ่อว่าเงินแค่2500จะพอหรือครับหลวงพ่อ ท่านตอบว่า"ถวายเท่านี้แหละ" 16พฤศจิกายนหวยออก 25
    วันที่23มกราคม2558 หลวงพ่อท่านได้เดินทางไปร่วมงานศพผู้ใหญ่ จำรัส แต่งงาม ที่วัดวังน้ำเย็น ในงานนั้นได้พบกับศิษย์ท่านหนึ่งหลวงพ่อได้บอกกับศิษย์ท่านนั้นว่า พรุ่งนี้ไปพบฉันที่วัดหน่อย พอวันรุ่งขึ้นศิษย์ท่านนั้นได้เดินทางไปที่วัดม่วงคันหลวงพ่อจึงบอกให้โทรตามศิษย์อีก2คนเมื่อศิษย์ทั้ง3มาพร้อมกันหลวงพ่อจึงบอกให้เขียนพินัยกรรม โดยให้เขียนมีเนื้อหาว่า งานศพฉันไม่ต้องสวดนานให้รีบเผาโดยเร็วที่สุดดอกไม้ไม่ต้องหามากปี่พาทย์ไม่ต้องหามาให้จัดแบบเรียบง่ายไม่ให้สิ้นเปลือง และเรื่องสำคัญหลวงพ่อท่านบอกว่า เงินในบัญชีฉันมีอยู่แปดแสนบาทเศษรีบไปดำเนินการเตรียมเบิกมาใช้ในงานศพของฉันให้เรียบร้อย ศิษย์ทั้งสามเกิดอาการงงต่างคิดกันว่าเพราะเหตุใดหลวงพ่อจึงพูดอย่างนี้เพราะว่าท่านยังมีสุขภาพดีไม่มีอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใดที่บ่งบอกว่าหลวงพ่อจะต้องถึงแก่มรณภาพ
    จนถึงวันที่13กุมภาพันธ์2558หลวงพ่อมีอาการหนาวสั่นช่วยเหลือตัวเองไม่ได้คณะศิษย์จึงได้นำหลวงพ่อไปเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอ่างทองเวชการจากนั้นคณะแพทย์ได้ส่งหลวงพ่อไปรักษายังโรงพยาบาลศูนย์สระบุรี จนกระทั่งวันศุกร์ที่27กุมภาพันธ์2558อันเป็นวาระสุดท้ายของหลวงพ่อในเวลา22.45น.หลวงพ่อได้ละสังขารลงด้วยอาการสงบ

    การศึกษาพุทธาคม ไสยเวทย์มนต์คาถา หลวงพ่อมี จิตฺตธโมนั้น เริ่มจากการเดินทางไปจำพรรษาอยู่วัดนางใน อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง อยู่ใกล้ชิดปรนนิบัติรับใช้หลวงพ่อนุ่ม หลวงพ่อนุ่มเป็นพระอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ ในวิชาไสยศาสตร์คาถามาก ท่านเป็นศิษย์สืบทอดพุทธาคมจากาหลวงพ่อเดิมวัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์ และสืบทอดวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อิ่มวัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี และสืบทอดวิชาสายหลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่าจากหลวงพ่อเข็ม วัดข่อย อ.วิเศษไชยชาญ จ.อ่างทอง ซึ่งพระอาจารย์ที่หลวงพ่อนุ่มเล่าเรียนมา แต่ละองค์ล้วนแต่มีวัตถุมงคลที่มีค่านิยมหลักหมื่นต้น ๆ ถึงหลักแสน สำหรับวัตถุมงคลของหลวงพ่อนุ่ม เหรียญรุ่น1 เล่นหากันราคาหลายหมื่น เบี้ยแก้ เล่นหากันราคาสูงและหายากทั้งเหรียญและเบี้ยแก้มีประสบการณ์มาก หลวงพ่อนุ่มวัดนางในพระอาจารย์ของหลวงพ่อมี วัดม่วงคันองค์นี้มีไสยเวทย์มนต์คาถาที่ศักดิ์สิทธิ์ ที่ขึ้นชื่อได้แก่พระคาถาทำผงเรียกว่า "มนต์พระสงข์" ซึ่งเป็นสุดยอดเมตตามหานิยม มหาเสน่ห์ สิริมงคล โชคลาภ ใช้เรียกทรัพย์ เงินทองไหลมาเทมา เป็นที่ขึ้นชื่อและมีประสบการณ์ทันตาเห็น แม้ในครั้งยุคที่หลวงพ่อนุ่ม เวลาวัดมีงานปีและงานบุญ ท่านจะใช้แป้งเสกผงไปโรยบริเวณรอบวัด ตกกลางคืนผู้คนหลั่งไหลมาจากทุกสารทิศ จนเบียดเสียดต้องดันกันเข้าบริเวณวัด ทุกครั้งไป เป็นที่ขึ้นชื่อว่าในอำเภอวิเศษไชยชาญไม่มีวัดไหนมีผู้คนมางานมากเท่าวัดนาง ใน หลวงพ่อมีได้ขอศึกษาเรียนวิชาไสยเวทย์จากหลวงพ่อนุ่มจนจบสิ้น
    ประสบการณ์ เหรียญเสมารุ่น1 มีประสบการณ์ปืนยิงไม่ออก ได้เกิดเหตุยิงกันในวันงานยกช่อฟ้าอุโบสถ วัดม่วงคัน มีวัยรุ่นไล่ยิงกันมาอีกฝ่ายวิ่งหนี อีกฝ่ายถือปืนวิ่งตาม คนวิ่งหนีเข้าไปในร้านค้าป้าหวุย เป็นร้านค้าอยู่หน้าวัดม่วงคัน หนีออกทางประตูหลังร้าน ในขณะเดียวกัน ลูกชายป้าหวุยเจ้าของร้านไม่รู้เรื่องได้เดินสวนออกมา วัยรุ่นที่ถือปืนตามมา คิดว่าเป็นพวกออกมาจะต่อสู้จึงได้ยิงด้วยปืน .38 ทันทีหลายครั้ง แต่กระสุนด้านยิงไม่ออก ลูกป้าหวุยโดนยิงแต่กระสุนไม่ออกได้แขวนเหรียญเสมารุ่น1 หลวงพ่อมีอยู่ในคอเหรียญเดียว ชื่อนายจิมมี่ แสงอำนาจเจริญ เป็นบุตรชายของป้าหวุย แสงอำนาจเจริญ เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างงานผู้คนมากมายรู้กันทั้งตำบล และมีประสบการณ์อีกหลายครั้ง
    ครั้งที่ 2 เกิดเรื่องยิงไม่ออกอีก เกิดในคืนวันงานผูกพัทธสีมาผังลูกนิมิต วัดม่วงคันในปีพ.ศ.2541 ตำรวจนอกเรื่องแบบ อดีตเป็นตำรวจอยู่ประจำสน.รำมะสักได้ย้ายไปอยู่สน.อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ได้มาเที่ยวงานวัด มากินอาหาร ดื่มสุราที่ร้านเบียร์สดหน้าวัดจนเมามาย ได้พบเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.รำมะสักที่คุ้นเคยรู้จักกัน อยู่ในชุดเครื่องแบบรักษาการอยู่ได้โซเซเข้าไปชักชวนมาร่วมดื่มสุราด้วย ตำรวจในชุดรักการอยู่บอกปฏิเสธว่า "มึงไม่รู้เรื่องหรือ กูกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่" เท่านั้นแหละ ตำรวจนอกเครื่องแบบที่เมาสุราไม่พอใจ กระโดดเข้าชกต่อย เกิดการต่อสู้กัน ตำรวจนอกเครื่องแบบได้ชักปืนออกมาแล้วยิง แต่กระสุนด้านยิงไม่ออก เหตุเกิดขึ้นในงานใกล้ปากประตูเข้าวัด มีผู้คนรู้เห็นมากมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ถูกยิงไม่ออก มีเหรียญเสมารุ่น1 หลวงพ่อมี ห้อยคออยู่เหรียญเดียว
    และอีกประสบหนึ่งมีชาวบ้านห้อยแขวนเหรียญเสมา รุ่น1 นี้อยุ่ในคอเหรียญเดียว ถูกรถชนกระเด็นไปหลายวา ไม่ได้รับบาดเจ็บหรือแม้นเลือดออกแม้แต่หยดเดียว รอดชีวิตมาได้อย่างปฏิหารย์ เหรียญเสมารุ่น1 นี้ ออกแจกให้ชาวบ้านและศิษย์จำนวน 5,000 เหรียญออกในปีพ.ศ.2514 เป็นเนื้อทองแดง เนื้อเดียว ได้ปลุกเสกอธิฐานจิตโดยหลวงพ่อมี องค์เดียว เหรียญรุ่น1 นี้ค่อนข้างหายาก ชาวบ้านต่างหวงแหน

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ตะกรุดโทนขนาดประมาณ 2 นิ้ว พร้อมแผ่นกระดาษจากทางวัด ปํ๊มหมึก ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250303_181732.jpg IMG_20250303_181748.jpg
     
  4. sunmk

    sunmk เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2020
    โพสต์:
    1,265
    ค่าพลัง:
    +1,066
    จองสมเด็จวัดชิโนรส/เหรียญที่3หลวงพ่่อบุญยัง/พระล.พ.สำเนียง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มีนาคม 2025 at 19:45
  5. shaj

    shaj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 พฤศจิกายน 2012
    โพสต์:
    8,096
    ค่าพลัง:
    +6,991
    -ขอจองครับ
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    รับทราบครับขอบคุณครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1741031032045.jpg

    พ่อท่านเขียวผู้มีร่างอมตะเผาไม่ไหม้
    พ่อท่านเขียว วัดหรงบน ท่านเป็นเกจิอีกท่านหนึ่ง ที่เปลวไฟอันร้อนแรง ไม่สามารถทำลายร่างกายท่านได้ แม้แต่จีวรยังไม่ไหม้ไฟ เมื่อปีพ.ศ.๑๘ ท่านได้รับนิมนต์ไปปลุกเสกวัดกลางบางแก้ว หลวงปู่เพิ่ม ตอนนั้นยังไม่พบหน้ากัน แต่หลวงปู่เพิ่มกลับรู้ว่าท่านเก่ง ได้แนะนำให้คุณสุธน นักเขียนเรื่องพระรุ่นใหญ่ ไปกราบพระสามองค์ อันประกอบด้วย พระอาจารย์นำ วัดดอนศาลา พ่อท่านคลิ้ง วัดถลุงทอง พ่อท่านเขียว วัดหรงบน ซึ่งขณะนั้น ชื่อเสียงท่านท้ังสาม จะดังเฉพาะท้องถิ่น คนทางภาคกลางยังไม่รู้จัก คนภาคกลางจะรู้จักแค่พ่อท่านคล้าย กับพระอาจารย์ทิม วัดช้างให้
    เมื่อคุณสุธนไปกราบพ่อท่านเขียว รู้สึกศรัทธาท่านมาก ภายหลังจึงติดตามไปกราบท่านที่วัด พร้อมนำประว้ติท่านมาเผยแผ่ คนก็รู้จักท่านมากขึ้น แต่ก็ยังไม่ดังเปรี้ยง ท่านมาดังเปรี้ยงเพราะ ตอนเผาศพท่าน เปลวไฟไม่อาจทำลายสังขารท่านได้ แอดมินจึงขอนำบรรยากาศนั้น มาถ่ายทอดให้ฟัง
    เมื่อบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่เขียวครบ๗คืนแล้วในวันที่๘ตอนบ่ายก็นิมนต์พระสวดมาติกาบังสุกุลพระเถระพิจารณาผ้าบังสุกุลวางดอกไม้จันทน์และให้ญาติโยมที่มาร่วมงานได้วางดอกไม้จันทน์กันหมดแล้วหลังจากนั้นทางคณะกรรมการก็ได้นำเอาร่างของหลวงปู่เขียวออกมาจากหีบศพนุ่งห่มผ้าจีวรให้ใหม่แล้วนำมามัดให้ยืนไว้กับต้นเสาบนเมรุจำลองเพื่อให้ลูกศิษย์และญาติโยมผู้ศัทธาเคารพในหลวงปู่เขียวได้กราบใหว้ได้เห็นหลวงปู่เขียวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทำการฌาปณกิจศพของท่านเมื่อคณะกรรมการและประชาชนบางคนเห็นศพหลวงปู่เขียวแห้งและแข็งไม่เน่าเหม็นส่วนต่างๆของร่างกายอยู่ครบสมบูรณ์จึงคิดอยากจะเก็บศพหลวงปู่เขียวไว้แต่อีกหลายคนเห็นแย้งว่าได้จัดการมาถึงขนาดนี้แล้วและควรให้เป็นไปตามประเพณีพวกคนที่ไม่อยากให้เผาจึงว่าหลวงปู่เขียวศักดิ์สิทธิ์หากเผาแล้วไฟไม่ไหม้ก็จะขอเก็บเอาศพไว้จึงพากันอธิษฐานขอให้ไฟไม่ไหม้และได้ทำการตกลงกันว่าหากผ่าน๑ชั่วโมงแล้วไฟไม่ไหม้จะขอเอาศพไว้ไม่เผาอีกต่อไป
    ในวันฌาปณกิจศพหลวงปู่เขียวนั้นมีประชาชนมาร่วมไว้อาลัยประมาณ๓๐๐๐คนหลังจากได้ไปวางดอกไม้จันทน์กันแล้วบางคนก็กลับแต่ยังคงมีประชาชนอยู่ร่วมฌาปณกิจศพอีกนับพันคนเมื่อถึงเวลาประมาณ๐๒.๓๐นาทีของคืนวันที่๑๘พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๒๐ทางคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่เมรุจำลองก็ได้นำร่างของหลวงปู่ขียววางลงในรางเหล็กซึ่งเต็มไปด้วยถ่านและไม้จันทร์พร้อมทั้งได้ลาดน้ำมันก๊าดเอาไว้พร้อมพระครูพิบูลศีลาจารย์ก็นำพระภิกษุและประชาชนขอขมาโทษหลวงปู่เขียวเสร็จแล้วพระอาจารย์เพชร จิตฺตเสโน ศิษย์หลวงปู่เขียวก็ได้เอาดอกไม้จันทน์มาจุดไฟวางลงในรางเหล็กที่เต็มไปด้วยน้ำมันก๊าดไฟก็ลุกขึ้นอย่างโชติโชนจนท่วมศพหลวงปู่เขียวเสียงพลุไฟพะเนียงประทัดก็ถูกจุดขึ้นดังสนั่นลั่นวัดพระสงฆ์ ๔ รูปก็สวดพระอภิธรรม๗คำภีร์เป็นวาระสุดท้ายในการบำเพ็ญกุศลศพหลวงปู่เขียว
    เวลาผ่านไปประมาณ๑ชั่วโมงคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่เผาศพบนเมรุจำลองสังเกตเห็นว่าศพหลวงปู่เขียวยังสมบูรณ์ดีอยู่แม้กระทั่งจีวร เส้นเกศา เล็บมือเล็บเท้า เนื้อหนังไม่ได้โดนไฟไหม้แม้แต่น้อยคงมีแต่ดอกไม้จันทน์ฟืนไม้จันทร์และถ่านเท่านั้นที่มอดไหม้ไปกับไฟจึงนำความมาบอกแก่พระครูพิบูลศีลาจารย์ประธานฝ่ายสงฆ์คณะกรรมการและลูกศิษย์จึงตกลงกันว่าให้หยุดเผา นำศพหลวงปู่เขียวออกออกมาประชาชนที่ร่วมฌาปณกิจศพหลวงปู่เขียวในคืนนั้นนับพันคนถึงกับทึ่งกับสิ่งอัศจรรย์ที่ได้เห็นต่างพูดกันว่า หลวงปู่เขียวท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆต่างพากันกรูเข้าไปเพื่อเก็บเอาส่วนต่างๆทั้งถ่านไฟและไม้ฟืนด้วยความเลื่อมใสศัทธาทางคณะกรรมการและลูกศิษย์หลวงปู่เขียวต้องช่วยกันห้ามเอาไว้ไม่ให้ประชาชนเข้ามาฉีกเอาจีวรที่ห่มร่างหลวงปู่เขียวและประกาศให้ทุกคนอยู่ในความสงบเรียบร้อยซึ่งทางคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่จึงเปลี่ยนจีวรที่ห่มศพตอนเผาแล้วนำมาตัดเป็นชิ้นเล็กๆเพื่อให้พอแจกกับประชาชนให้ได้กันทุกคนเมื่อได้รับจีวรที่ห่มศพหลวงปู่เขียวและเผาไม่ไหม้ต่างก็ปลื้มปีติดีใจ
    FB_IMG_1741031028632.jpg
    นายเหลี้ยง นะเสน ได้เล่าว่ามีชายคนหนึ่งไม่เชื่อว่าหลวงปู่เขียวเผาไม่ไหม้จึงได้เอาเทียนมัดรวมกันเต็มกำมือแล้วจุดไฟเอาไปจ่อที่จีวรที่ศพหลวงปู่เขียวปรากฏว่าเทียนดับจึงจุดใหม่และเอาไปจ่ออีกถึงสามครั้งเทียนก็ดับทุกครั้งจึงก้มลงกราบขอขมาแล้วฉีกเอาจีวรไปประมาณเท่าฝ่ามือ
    มีอีกคนหนึ่งชื่อลุงศรีพุฒอยู่บ้านควายต่อหัว ทางทิศตะวันออกวัดคงคาวดี(วัดกลาง)ซึ่งเคยยกปิ่นโตทำบุญอยู่กับหลวงปู่เขียวประจำเรียกได้ว่าสนิทสนมคุ้นเคยกันดีไม่เชื่อว่าไฟจะไม่ไหม้ศพหลวงปู่เขียวคิดว่าพวกกรรมการแกล้งทำเป็นแน่ขณะที่นำศพหลวงปู่เขียวไปมัดไว้กับเสากุฏิก็ได้จุดเทียนขึ้นหนึ่งกำมือแล้วจ่อเข้าไปในจีวรที่ศพหลวงปู่เขียวปรากฏว่าไฟลุกทะลุจีวรขึ้นไปโดยไม่ไหม้จีวรแม้แต่น้อยถึงกับหน้าซีดเลยทีเดียวเสียงชาวบ้านและลูกศิษย์ตะโกนลั่น ทำหลวงปู่ทำไมลุงศรีพุฒตกใจรีบก้มลงกราบศพหลวงปู่เขียวแล้วลงจากกุฏิหายไปทั้งสองเรื่องนี้ยังมีคนที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะนั้นเล่าให้ฟังได้อย่างแม่นยำ เมื่อเสร็จจากแจกจีวรกันแล้วคืนนั้นทางคณะกรรมการจึงนำศพหลวงปู่เขียวมามัดไว้กับเสาบนกุฏิของท่านให้ประชาชนกราบใหว้ไปพลางๆก่อนภายหลังจึงได้นำหีบแก้วมาบรรจุศพตั้งไว้บนกุฏิของท่านให้ได้กราบใหว้และชมร่างหลวงปู่เขียวได้อย่างชัดเจนมีเรื่องเล่าว่าทีแรกทางคณะกรรมการจะนำศพที่บรรจุในหีบแก้วไปตั้งไว้บนกุฏิหอรูปปั้นที่ได้สร้างไว้แต่ไม่สามารถนำขึ้นไปได้จึงต้องนำกลับมาไว้บนกุฏิของท่านในภายหลังปีพ.ศ.๒๕๓๐ทางวัดหรงบนได้สร้างมณฑบเจดีย์ขึ้นจึงได้นำหีบแก้วบรรจุศพหลวงปู่เขียวขึ้นไปประดิษฐานไว้บนมณฑบเจดีย์ให้ได้กราบใหว้บูชากันจวบจนทุุกวันนี้
    ขอขอบคุณเว็บไซค์วัดหรงบนที่เอื้้อเฟื้อข้อมูล
    ประวัติหลวงปู่เขียว วัดหรงบล
    หลวงปู่เขียว ถือกำเนิดขึ้นในตะกูลชาวนา เมื่อวันอาทิตย์ ขึ้นแรมไม่ปรากฏ เดือนยี่ ปีมะเมีย พ.ศ.2424 บิดาชื่อนาย ปลอด มารดาชื่อแป้น มีพี่น้อง 4คน ชาย2หญิง2 หลวงปู่เขียวเป็นพี่ชาวคนโต น้องชายชื่อนายพลับ น้องสาวชื่อนางเอียด และนางปาน น้องชายและน้องสาวเสียชีวิตก่อนท่าน
    การศึกษา
    เมื่อยังเยาว์วัย หลวงปู่เขียวอาศัยพระในบ้านช่วยสอนหนังสือให้อ่านเขียนได้ตามอักขระสมัย ท่านชอบศึกษาเล่าเรียนเป็นชีวิตจิตใจ
    อุปสมบท
    "หลวงปู่เขียว"ท่านตัดสินใจสละเพศฆราวาส เข้าสู่วัดเมื่ออายุได้ 22ปี อุปสมบท ณ วัดคงคาวดี (วัดกลาง) ปีเถาะ พ.ศ.2446 พระครูสมัยนั้น เป็นพระอุปัชฌายะ พระครูบริหารสังฆกิจ (เต็ง) เป็นพระอนุสาวนาจารย์ พระเกื้อเป็นพระกรรมวาจา ได้รับฉายาว่า "อินทมุนี"ได้ปรนนิบัติรับใช้ รับฟังโอวาทจากพระอุปัชฌายะชั่วระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้น หลวงปู่เขียว ก็กราบลาพระอุปัชฌายะ ไปศึกษาเล่าเรียนต่อกับพระอาจารย์เอียด วัดบน พระอาจารย์เอียดเก่งทั้งทางโลก และทางธรรม อบรมนิสัยให้เหมาะแก่สมณเพศ จนท่านตั้งใจว่า ขอถือบวชอยู่ในพุทธศาสนาตลอดไป หาทางพ้นทุกข์ตัดอาสวะกิเลสให้สิ้น หลวงปู่เขียวท่านตัดสินใจเดินธุดงค์เป็นวัตร คือ ถือผ้านุ่งห่มบังสกุล 3ชิ้น มีผ้าสบง อังสะ จีวร บิณฑบาตร และฉันอาหารมื้อเดียว(เอกา)เป็นวัตร จึงกราบลาอาจารย์เดินธุดงค์สู่ป่าเขาลำเนาไพร หลวงปู่เขียวเดินธุดงค์ติดต่อกันหลายปี ผ่านจังหวัดกระบี่ ตรังสุราษฎร์ธานี ชุมพร สงขลา ปัตตานี นราธิวาส ภูเก็ต พังงา และจังหวัดอื่นๆอีกหลายแห่ง
    วัตถุมงคล พระเครื่องหลวงปู่เขียว
    ในปี พ.ศ.2467หลวงปู่เขียวอายุได้ 53 ปีพอดี ท่านพระครูพิบูลย์ศีลาจารย์(เกลื่อม)เจ้าคณะ ต.บางตะพง อ.ปากพนัง ปกครองวัดกลาง(คงคาวดี)ศรัทธาต่อหลวงปู่เขียว ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเอง ต้องการได้ของดีของอาจารย์เป็นที่ระลึก จึงหาผ้าขาวมา หาขมิ้นผงมาผสมน้ำทาใต้เท้า ใต้มือท่านแล้ว นิมนต์ท่านอฐิษญานจิตกดเป็นผ้ายันต์แต่ไม่ค่อยชัดนัก ต่อมามีผู้ต้องการมากขึ้น จึงคิดหาหมึกจีนเป็นแท่งมาฝนกับฝาละมีทาเท้าบ้าง ทามือบ้าง ให้หลวงปู่อธิษฐานจิตกดลงบนผ้าขาวเป็นผ้ายันต์ ปรากฏว่าชัดเจนสวยงามดี นับว่าผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าหลวงปู่เขียวปรากฏแพร่หลายขึ้นเป็นครั้งแรกในภาคใต้ เมื่อมีผู้ศรัทธามาขึ้นจึงแพร่หลายบอกต่อกันไป มีประชาชนมาขอลูกอมท่านบ้าง หลวงปู่เขียวท่านเคี้ยวชานหมากเสร็จคลึงเป็นลูกอมแล้วมอบให้ บางคนท่านก็เอากระดาษฟางมาลงอักขระเป็นตัวหนังสือขอม หัวใจพระเจ้า 5พระองค์ นะโมพุทธายะ เสร็จแล้วเอาเทียนสีผึ้งห่อหุ้มปั้นเป็นลูกอม หลวงปู่เขียวเป็นพระใจดี พูดน้อยใครขออะไรท่านก็จะทำให้ตามความต้องการแต่ละคน
    วัตถุมงคลที่หลวงปู่เขียวท่านสร้างมีหลายอย่าง เช่น ผ้ายันต์รอยมือรอยเท้า เชือกคาด ลูกอมเทียน ชานหมาก พระปิดตา เหรียญ และรูปหล่อลอยองค์ พระเครื่องหลวงปู่เขียว เป็นที่ต้องการกันมาก
    พุทธคุณวัตถุมงคลหลวงปู่เขียว
    วัตถุมงคล และพระเครื่องของหลวงปู่เขียว ล้วนแล้วแต่มีประสบการณ์ด้านปกป้องคุ้มครองสูงมาก เช่นผ้ายันต์รอยมือรอยเท้าผู้ที่โดนโจรปล้นวัวเกิดต่อสู้กัน เจ้าของวัวพกผ้ายันต์ท่าน กระสุนก็ไม่อาจทำอะไรคนที่พกผ้ายันต์ท่านได้ ซึ่งพุทธคุณพระเครื่องที่ท่านปลุกเสกนั้น โด่งดังไปไกลทั่วประเทศเป็นที่เล่าขานสืบต่อมาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าด้านคงกระพัน มหาอุด หรือเมตตามหานิยม แคล้วคลาด ถือว่าหลวงปู่เขียว วัดหรงบลเป็นสุดยอดเกจิอันดับต้นๆของภาคใต้
    มรณภาพ
    "หลวงปู่เขียว" ท่านมรณภาพ ในปี พ.ศ.2519 ตรงกับวันเสาร์ ขึ้น 1ค่ำ เดือน 7 ด้วยโรคชราตามสังขารอายุ รวมได้ 95ปี 74 พรรษา
    ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่เขียว วัดหรงบลอีกอย่างหนึ่งที่เกือบทุกคนรู้กันดีทั่วบ้านทั่วเมือง ก็คือหลังจากหลวงปู่เขียวท่านมรณภาพแล้ว ทางวัดได้เก็บรักษาสรีระของหลวงปู่ไว้ระยะหนึ่ง ซึ่งปรากฏว่า สรีระร่างกายของหลวงปู่เขียวท่านไม่เน่าเปื่อย และไม่มีกลิ่นเหม็นแต่อย่างใด และเมื่อถึงวันครบกำหนดประชุมเพลิง สรีระของท่านเผาไฟไม่ไหม้ แม้แต่ จีวร ที่ห่อหุ้ม สร้างความมหัศจรรย์เป็นยิ่งนัก ปัจจุบัน สรีระร่างอันอมตะของ หลวงปู่เขียว ก็ยังประดิษฐานอยู่ในหีบแก้วที่วัดหรงบน ทุกวันนี้จะมีผู้คนไปกราบไหว้สักการบูชาอยู่เป็นประจำ

    FB_IMG_1741030398673.jpg

    1332356-4280b.jpg get_auc3_img (14).jpeg
    เหรียญวัดชลอ หลัง พระประจำวัน รุ่นแรก ปี ๒๕๑๖ จ.นนทบุรี
    หลวงปู่โต๊ะ พ่อท่านเขียว วัดหรงบล ร่วมปลุกเสก
    เนื่องจากพระครูนนทปัญญาวิมล (สุเทพ ฐิตปุญโญ)เจ้าอาวาสองค์ที่ 10
    ท่านเป็นชาวปากพนัง ซึ่งสนิทสนมกับพ่อท่านเขียว วัดหรงบลมาก
    ทุกครั้งที่ท่านสร้างวัตถุมงคล จะต้องให้หลวงปู่เขียวเสกให้
    จึงไม่น่าแปลกใจที่ในกุฎิท่าน มีพระบูชาหลวงพ่อเขียวหลายองค์
    เหรียญรุ่นแรกอีกหลายเหรียญ และในที่สมัยนั้นมีคนได้รับพระที่สร้างจากวัดชลอ
    จากมือพ่อท่านเขียวที่วัดหรงบลก็เยอะ
    เหรียญวัดชลอ รุ่นแรก สร้างในปี ๒๕๑๖
    มีเกจิอาจารย์ที่เก่งกล้าสมัยนั้นมาร่วมปลุกเสก 108 องค์

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250304_022444.jpg IMG_20250304_022523.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 มีนาคม 2025 at 02:56
  8. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    1370798829-1-o.jpg
    1350912-1b1a1.jpg
    พระสมเด็จรุ่นแรก รุ่นเดียว พระอาสภเถระ วิเวกอาศรม ชลบุรี
    พระอาจารย์ มีนามเดิมว่า หม่องขิ่น ถือกำเนิดในสกุล ตวยเต้าจี้ ซึ่งเป็นสกุลขุนนางชั้นสูงของพม่า พระอาจารย์เกิดเมื่อ ๑ ๗ฯ ๘ ปีกุน พุทธศักราช ๒๔๕๔ ที่ตำบลจวนละเหยียน อำเภอเยสะโจ จังหวัดปะดุกกู่ ประเทศพม่า โยมบิดามีนามเดิมว่า อุโพอ้าน โยมมารดามีนามว่า ดอร์เปียว มีพี่น้อง ๓ คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง
    ชีวิตในช่วงปฐมวัย
    พระอาจารย์ได้รับการศึกษาขั้นต้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๑ อายุได้ ๗ ปี เริ่มเรียนหนังสือตั้งแต่หลักสูตร นะโม พุทธายะ สิทธัง ไปจนถึงทศมหาชาดก ซึ่งเป็นหลักสูตรพื้นฐานการศึกษาที่กุลบุตรของพม่าจะต้องเรียนในสมัยนั้น
    พระอาจารย์ได้เข้าสู่ร่มผ้ากาสาวพัตร์
    พระอาจารย์ได้บรรพชาเป็นสามเณรเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๙ อายุได้ ๑๕ ปี โดยมีพระภัททันตะ ญาณมหาเถระ เจ้าอาวาสวัดโชติการาม เป็นพระอุปัชฌาย์ และในเวลาต่อมาก็อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ได้รับฉายาว่า อาสโภ ณ พัทธสีมาวัดจวนละเหยียน อำเภอเยสะโจ จังหวัดปะดุกกู่ เมื่อวันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๔๗๓ โดยมี
    - พระภัททันตะ ญาณมหาเถระ เป็นพระอุปัชฌาย์
    - พระภัททันตะ อูเกลาสมหาเถระ เป็นพระกรรมวาจาจารย์
    - พระภัททันตะ อูปัญญามหาเถระ เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ภาคคันถะธุระ
    พระอาจารย์ได้รับการศึกษา ดังนี้คือ
    ๑. ระเบียบวินัย ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ
    ๒. ไวยากรณ์บาลีมหากัจจายน์
    ๓. อภิธรรมมัตถสังคหอรรถกถา
    ๔. ศึกษาปริยัติธรรมชั้นสูงที่มหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย
    วุฒิธัมมาจริยะ
    เมื่ออายุได้ ๒๗ ปี ๗ พรรษา พระอาจารย์สอบได้วุฒิชั้น “ธัมมาจริยะ” ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดแห่ง การศึกษาคณะสงฆ์พม่า
    ตำแหน่งในมหาวิสุตารามมหาวิทยาลัย
    ได้รับความเห็นชอบ มีมติเอกฉันท์จากบรรดาพระมหาเถระปาติโมกข์แห่งมหาวิทยาลัยให้ ดำรงตำแหน่ง “คณะวาจกสะยาดอร์” คือ เป็นพระคณาจารย์ชั้นผู้ใหญ่ประจำมหาวิทยาลัยมีหน้าที่ให้การศึกษาพระไตรปิฎก บาลี อรรถกถา ฎีกา และพระคัมภีร์ต่าง ๆ ตั้งแต่ปีพุทธศักราช ๒๔๘๓ เป็นต้นมา
    ภาควิปัสสนาธุระ
    ๑. เข้าปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ณ วัดสวนลน จังหวัดเมียนฉั่น โดยมีท่านพระอาจารย์ ภัททันตะ กวิมหาเถระ ปธานกัมมัฏฐานาจริยะ เป็นผู้บอกกรรมฐานให้
    ๒. เดินทางไปเข้าวิปัสสนากรรมฐานต่อ ณ วัดมหาสี ตำบลเชตโข่น จังหวัดสวยะโบ่ ซึ่งเป็นสำนักของมหาสี สะยาด่อร์
    ตำแหน่งพระวิปัสสนาจารย์
    เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๓ พระอาจารย์ได้รับการถ่ายทอดวิชา “วิปัสสนาจารย์” จาก พระอาจารย์ภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต (มหาสี สะยาด่อร์) ผู้เป็นพระปรมาจารย์ต้นตำรับ “พองหนอ ยุบหนอ” และได้รับมอบหมายให้เป็นวิปัสสนาจารย์ประจำสำนักมหาสีสาสนยิสสา แห่งนครย่างกุ้ง
    ในปีพุทธศักราช ๒๔๙๕ สมเด็จพระพุฒาจารย์(อาจ อาสภมหาเถร) มีความประสงค์จะวางรากฐานวิปัสสนาธุระไว้ ณ ประเทศไทยจึงได้แสดงความจำนงไปยังสภาพุทธศาสนาแห่งประเทศพม่า ขอให้จัดส่งพระวิปัสสนาจารย์ผู้มีความรู้เชี่ยวชาญมาช่วยสอนวิปัสสนากรรมฐานในประเทศไทย สภาการพุทธศาสนาแห่งประเทศพม่าจึงมอบหมายให้ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิต เป็นผู้พิจารณาพระวิปัสสนาจารย์ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมตามความต้องการของสมเด็จพระพุฒาจารย์ ท่านพระอาจารย์ภัททันตะ โสภณมหาเถระ อัคคมหาบัณฑิตพิจารณาโดยรอบคอบแล้วจึงมีบัญชาให้พระอาจารย์ภัททันตะ อาสภเถระ ธัมมาจริยะเป็นผู้รับภาระหน้าที่อันสำคัญนี้ ท่านจึงตัดสินใจเดินทางมาประเทศไทย รับหน้าที่เป็นพระวิปัสสนาจารย์สอนวิปัสสนากรรมฐานอยู่ ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
    เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ พระอาจารย์ภัททันตะอาสภเถระ ธัมมจาริยะได้รับอาราธนาจากนายธรรมนูญ สิงคารวณิช และพระภิกษุเดือน เนื่องจำนงค์ ให้มาเป็นพระอาจารย์สอนกรรมฐานประจำสำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม
    ผลงานรจนาหนังสือธรรมะ
    แม้ว่าพระอาจารย์ภัททันตะ อาสภมหาเถระ จะมีหน้าที่ในการบอกกรรมฐานแก่ศิษยานุศิษย์ ซึ่งเป็นภาระที่หนักอยู่แล้ว แต่ก็ยังอุตสาหะรจนาหนังสือธรรมเกี่ยวกับการปฏิบัติวิปัสสนาเป็นภาษาไทยไว้ดังต่อไปนี้
    ๑. แว่นธรรมปฏิบัติ
    ๒. แนวปฏิบัติวิปัสสนา
    ๓. หลักการเจริญวิปัสสนา
    ๔. ปฏิจจสมุปบาทจักกเทศนา
    ๕. วิปัสสนาทีปนีฎีกา
    รวมระยะเวลาที่พำนักในประเทศไทย
    ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖ พำนัก ณ วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ ( ๑๐ ปี )
    ปีพุทธศักราช ๒๕๐๕ พำนัก ณ สำนักวิปัสสนาวิเวกอาศรม อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี (๓๗ ปี)
    ๑ มีนาคม ๒๕๔๒ ย้ายมาพำนัก ณ สำนักวิปัสสนาสมมิตร-ปราณี อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ( ๓ ปี )
    ๑๙ ตุลาคม ๒๕๔๕ พำนัก ณ วัดภัททันตะอาสภาราม ตำบลหนองไผ่แก้ว อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี
    ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ พระอาจารย์ภัททันตะ อาสภมหาเถระ อัคคมหากัมมัฏฐานาจาริยะ ได้ถึงแก่มรณภาพ ณ โรงพยาบาลศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร เมื่อเวลา ๑๙.๕๕ น. รวมอายุ ๑๐๐ พรรษา ๘๑

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จรุ่นแรกรุ่นเดียวของหลวงพ่อ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250304_022607.jpg IMG_20250304_022653.jpg
     
  9. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    FB_IMG_1741037169875.jpg


    ประวัติหลวงพ่อมหาโพธิ์ วัดคลองมอญ
    วัดคลองมอญ (สุวรรณโคตมาราม) อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อมหาโพธิ์ ญาณสังวโร เกิดเมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2463 ตรงกับทางจันทรคติ วันอังคาร แรม 13 ค่ำ เดือน 11 ปีวอก จ.ศ.
    1282 ยามเด็กนอนสมัยนั้น (ประมาณเวลา 19.20 น.) ลัคนาศรี พฤษภ เสวยฤกษ์ที่ 5 มฤคสิระ ประกอบด้วย เทศาตรี แห่งฤกษ์ นามเดิม นายโพธิ์ จั่นเที่ยง โยมบิดาชื่อ นายวอน จั่นเที่ยง โยมมารดาชื่อ นางทองสุข จั่นเที่ยง มีพี่น้องด้วยกัน 6 คน หลวงพ่อเป็นลูกคนที่ 4 บ้านเกิด ณ บ้านหนองพญา ต.มะขามเฒ่า อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท
    หลวงพ่อท่านได้เล่าว่า ตอนเด็ก ๆ ไม่สามารถอยู่บ้านได้ พระใบฎีกาบุญยัง เป็นทั้งอาจารย์และหลวงน้าของท่าน ได้นำเอาท่านมาเลี้ยงไว้ที่วัดหนองน้อย ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านท่านประมาณ 3 กิโลเมตร ต่อมาหลวงพ่อบุญยังได้พาท่านมาฝากบวชเรียน พระปริยัติธรรมที่วัดอรุณอัมรินทร์ (วัดโบสถ์น้อย) บางกอกน้อยธนบุรี ได้จำพรรษาบวชเรียนเป็นสามเณรโพธิ์ ณ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ และต้องเดินไปเรียนนักธรรมและบาลีปเรียญสาม ขณะจำพรรษาอยู่นี้หลวงพ่อบุญยังได้มาเยี่ยมเยียนอยู่ เเสมอและก็ได้ถ่ายทอดวิชาต่าง ๆ ให้ สามเณรโธิ์ท่านก็จะแปรพระคาถาต่าง ๆ เป็นใจความบ้าง ไม่ได้ใจความบ้าง ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไร หลวงพ่อบุญยังบอกว่า �คุณมหาโพธิ์อย่าไปแปล วิชาก็คือวิชาแปลภาษาบาลีก็แปลไป วิชาอาคมต่าง ๆ ครูบาอาจารย์ถ่ายทอดกันมามิได้ให้แปลไม่สมควรแปล เพราะเป็นหลักของวิชาในการใชคาถาอาคม ด้วยจิตเป็นเครื่องกำหนด� ดังนั้นสามเณรโพธิ์จึงไม่คิดแปลคาถาอีกต่อไป เมื่อได้เข้าใจในหลักวิชาที่หลวงพ่อบุญยังได้ถ่ายทอด ให้
    เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณื สามเณรมหาโพธิ์ ก็ได้บวชอุปสมบทเป็นพระภิกษุ ที่วัดอรุณอัมรินทร์ บางกอกน้อย ธนบุรี โดยโยมบิดาและมารดาได้เดินทางจาก อ.วัดสิงห์ มายังกรุงเทพฯ เพื่ออุปสมบทสามเณรมหาโพธิ์ด้วความปลื้อมปิติยินดียิ ่งนัก ต่อมาอีก 1 ปี ท่านได้กลับสมาอยู่ที่ วัดหนองน้อย จ.ชัยนาท และขอลาสิกขาบทกับหลวงพ่อบุญยัง แต่หลวงพ่อบุญยังไม่สึกให้ ท่านให้ไปสึกกับหลวงพ่อปลื้ม(น้องชายหลวงปู่ศุข) ณ วัดปลากคลองมะขามเฒ่า หลวงพ่อปลื้มก็สึกพระให้ตามความประสงค์
    ชีวิตทหาร
    หลังจากที่หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ลาสิกขาบทจากพระภิกษุใน ปี พ.ศ. 2484 อายุท่านครบ 21 ปีบริบูรณ์ ตามหน้าที่ของชายไทยทุกคนต้องรับใช้ชาติเพื่อคัดเลือ กเกณฑ์ทหารเป็นเวลา 2 ปี ท่านได้กราบลาหลวงพ่อบุญยัง ซี่งหลวงพ่อบุญยังได้อวยพรให้ท่าน �ท่านมหาโพธิ์ไปคราวนี้จะได้อยู่อย่างสบายๆ� พร้อมกับได้มอบผ้ายันต์ขาวแดงลงด้วยยันต์นะหน้าทอง 1 ผืน และยัต์ปีโยเล็ก 1 ผืน ให้พกติดตัวไป ผ้ายันต์ 2 ผืนนี้ดีทางเมตตามหานิยมเป็นที่รัดใคร่ของผู้ใหญ่ดุจ ลูกในอุทร วันแรกที่ไปฝึกทหารใหม่สะบักต้นขาของท่านได้หลุดออกเ หมือนคนขาหัก ต้องรับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นเวลาหลายเดือน หลังจากการฝึกทหารใหม่ 3 เดือนเสร็จสิ้นแล้วทุกคนจะต้องเข้าประจำกองต่างๆ หลวงพ่อท่านเล่าว่า ท่านแทบจะไม่ได้ทำอะไรเลย มีแต่คนคอยห่วงใยในความเป็นอยู่ กินนอนก็อยู่อย่างสบายเหมือนยังกับเจ้านาย มีคนคอยดูแล จนผู้คยในกรมทหาร จ.ลพบุรี เรียกท่านว่า �หลวงตา� ดังคำอวยพรของหลวงพ่อบุญยังให้ไว้ว่า �จะได้ไปอยู่อย่างสบายๆ�
    กลับมาอยู่กับท่านอาจารย์
    หลังจากที่รับใช้ชาติครบ 2 ปี ก็ปลดประจำการมาอยู่กับหลวงพ่อบุญยัง วัดหนองน้อย อยู่ปรนนิบัติและศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อบุญยัง พอมีญาติโยมเจ็บป่วยมาหาหลวงพ่อบุญยัง หลวงพ่อมหาโพธิ์ท่านจะช่วยเก็บยาสมุนไพรให้กับอาจารย ์ ท่านปรุงเป็นยารักษาญาติโยมอยู่บ่อยๆ ยามว่างอาจารย์ของท่านจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับวิชาต่าง ๆ ให้ฟัง เพื่อที่จะให้หลวงพ่อมหาโพธิ์สนใจอย่างไม่รู้ตัว อาทิเช่น วิชาเกี่ยวกับการฝึกธาตุทั้ง 4 ขึ้นมา อาจารย์ของท่านให้เอาโหลแก้วบรรจุน้ำเต็มตั้งไว้และใ ห้เอาขี้ผึ้งมามาปั้นเป็นก้อนกลมๆ ขนาดลูกพอประมาณ ใส่ลงในโหลแก้ว ขึ้ผึ้งจะลอยอยู่บนน้ำ และอาจารย์ท่านได้แสดงให้ดูก่อน โดยบังคับขี้ผึ้งให้ลอยและจมตามจิตบังคับ แล้วหลวงพ่อบุญยังก็พูดว่า ต้องใช้ความเพียรมากๆ ตั้งแต่นั้นมา หลวงพ่อมหาโพธิ์ก็ฝึกวิชาธาตุทั้ง 4 ด้วยความขยันหมั่นเพียรจนสามารถทำได้เหมือนกับอาจารย ์ของท่านเป็นที่ภาคภูมิใจของอาจารย์ยิ่งนัก
    สมัยที่หลวงพ่อบุญยังไปเรียนวิชากับหลวงปู่ศุข ที่วัดปากของมะขามเฒ่านั้น
    หลวงปู่ศุขได้ทดสอลความอดทนของท่านต่างๆ นานา ถ้าคนไม่มีความเพียรพยายามก็ต้องท้อเลิกไป แต่หลวงพ่อยุญยังท่านอดทนเพียรพยายามมาก แม้แต่กลางคืนหลวงปู่ศุขให้ไปฝึกวิชาที่โบสถ์ พอเดินออกไปก่อนจะถึงโบสถ์ฝนก็ตกน้ำท่วมถึงเอวต้องลุ ยน้ำไป จนเดินเลยโบสถ์กลับไปกลับมาตั้งหลายเที่ยวกว่าจะขึ้น โบสถ์ได้ วิชาต่างๆ ที่เรียนไปต้องฝึกให้สำเร็จและต้องแสดงต่อหน้าหลวงปู ่ศุขว่าทำได้แล้ว จึงจะขอเรียนวิชาอื่นๆ ต่อไปได้ เป็นระยะเวลาหลายปีทีเดียวที่หลวงปู่ศุขได้ถ่ยทอดวิช าต่างๆ ด้านพุทธคุณให้แก่หลวงพ่อบุญยัง และมอบคัมภีร์ไสยศาสตร์ทางพุทธคุณให้รักษาไว้สืบพระศ าสนาต่อไป จนตกมาถึงหลวงพ่อมหาโพธิ์ได้รับมอบคัมภีร์พุทธคุณจาก อาจารย์ของท่าน เป็นคัมภีร์ด้านพุทธคุณ ที่ประกอบด้วยอักขระ เลข ยันต์ต่างๆ ทั้งสูตรวิชาลบผงพุทธคุณในวิชา ปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช, อิธิเจภาคพิศดาร หลวงพ่อมหาโพธิ์ได้ฝึกตามคัมภีร์จนเจนจบทุกวิชา การลบผงมหาราชจะต้องขึ้นต้นด้วยการตั้งชื่อนามให้ได้ 5 ชื่อ แล้วลบมาบังเกิดเป็น นะโมพุทธายะ จากนั้นก็ลบต่อไปเรื่อยๆ มาเป็นองค์พระ 5 องค์ มาเป็น มะอะอุ แล้วมาบังเกิดเป็นนะต่างๆ เป็นยันต์ต่างๆ จนถึงยันต์ครูองค์พระ และสิ้นสุดด้วยมหาสูญ, นิพพานสูญ, ทุกวิชาปถมัง, อิทธิเจ, มหาราช จะมีหลักเกณฑ์ต่างๆแนวเดียวกัน ทุกสูตรจะต้องมีตัวตั้งก่อเกิดขึ้นและนมัสการสูตรยัน ต์ต่างๆ ทุกขั้นตอนกว่าจะเสร็จสิ้น 1 กระดานการลบผงต้องใช้เวลาทั้งวัน ผงพุทธคุณต่างๆ จะเก็บไว้เพื่อนำผงมาผสมทำพระเครื่องต่างๆ หรือจะนำมาผสมแป้งเจิม
    ฝึกวิชา
    พระอาจารย์บุญยังได้พยายามถ่ายทอดวิชาต่างๆ ด้านพุทธคุณให้ ตอนแรก ๆ หลวงพ่อไม่สนใจ แต่เมื่ออยู่กับท่านนาน ๆ ไปหลวงพ่อเริ่มมีความสนใจขึ้น เห็นพระอาจารย์ท่านทำอะไร ๆ แปลกๆ ให้เห็นอยู่เรื่อย ๆ เช่น ทำควายธนูด้วยตอกสาน โดยสานมือเดียวแล้ววางไว้ ควายธนูก็มีการขยับเขยื้อนได้ เสกน้ำมันจนเดือดเหมือนน้ำร้อน ฟองเดือดขึ้นมา แต่เมื่อไปสัมผัสด้วยมือกลับไม่ร้อน ทำให้ท่านอยากจะเรียน พระอาจารย์ของหลวงพ่อก็ถ่ายทอดให้ทั้งคาถาปลุกเสก และวิธีฝึก
    วิชาเกราะเพชร
    วิชาหนึ่งที่ท่านชอบและฝึกมาตั้งแต่ต้น คือ �ยันต์เกราเพชร� หรือตาข่ายเพชร โดยหลวงพ่อบุญยังได้เล่าให้ท่านฟังว่าสมัยหลวงปู่ศุข ยังมีชีวิตอยู่ ท่านได้ลองวิชาเกราะเพชรกับพระะรูปหนึ่ง ที่แก่กล้าวิชาที่เดินทางผ่านวัดปากคลองมะขามเฒ่า โดยบอกหลวงปู่สุขว่าจะขี่ม้าพยนต์เข้ามาในโบสถ์ให้ดู หลวงปู่ศุขท่านได้เอาผ้ายันต์เกราะเพชรขึงไว้หน้าประ ตู ปรากฎว่าม้าพยนต์ไม่สามารถผ่านยันต์เกราะเพชรหรือตาข ่ายเพชรไปได้ พระรูปนั้นเมื่อแพ้วิชาของหลวงปู่ศุข ก็ได้เดินทางกลับไปจากวัดปากคลองมะขามเฒ่าเมื่อหลวงพ ่อมหาโพธิ์ได้ฟังจากหลวงพ่อบุญยังเล่าท่านจึงสนใจและ เล่าเรียนวิชาเกราะเพชรลงตระกรุด และผ้ายันต์เกราะเพชรมาตลอดอายุของท่าน
    การลงยันต์เกราะเพชร ต้องท่องสูตรคาภาพระอิติปิโสรัตนมาลา ๕๖ บาท ให้ได้จนขึ้นใจทั้งเดินหน้า และถอยหลังได้รวมทั้งบทปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ในการลงยันต์เกราะเพชร ท่านบอกว่ายันต์เกราะเพชร เป็นยันต์ที่ค่อนข้างยากผู้เรียกจะต้องมีความขยันหมั ่นเพียร กับความอดทน และการประสิทธิ์ประสาทจากครูบาอาจารย์ น้อยคนนักที่จะลงยันต์เกราะเพชรได้ บางคนมาขอเรียนเห็นพระคาถา ๕๖ บาท ก็ท้อแล้วไม่อยากจะท่องจำ ความเพียรพยายามไม่มี การลงยันต์ก็ต้องหายใจลงตามสูตรพระคาถา ๕๖ บาท ผู้ที่ฝึกฝนใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเรียนเกือบทั้งวันกว่าจะลงยันต์เสร็จ อย่างตัวของหลวงพ่อเองใช้เวลาประมาณ ๒ ชั่งโมง ถือว่าลงได้เร็วมากแล้วเพราะท่านฝึกมา ตั้งแต่อายุยังรุ่นอยู่
    ในสมัยก่อนยามว่าง ท่านมักลงตระกรุดเกราะเพชรและทำผงพุทธคุณเกราะเพชรทั ้งชนิดป้องกันตัว และถอนคุณถอนของคนที่ถูกผีเข้า ท่านจะเอาตะกรุดเกราะเพชรที่เป็นแผ่นแบบยังไม่ได้ม้ว นเป็นตะกรุด ตบหัวคนถูกผีเข้า ผีจะทรุดลง และออกจากตัวคนไข้ไปทันที ตะกรุดส่วนใหญ่ท่านจะใช้แผ่นทองแดงมาลงยันต์เกราะเพช ร ยกเว้นแผ่นถอนของท่านจะใช้แผ่นตะกั่ว ส่วนตะกรุดเนื้อเงินท่านจะลงให้เฉพาะกับศิษย์ใกล้ชิด เท่านั้น เกี่ยวกับประสบการณ์ในตะกรุดเกราะเพชร มี ส.ส.ท่านหนึ่งใน จ.ชันนาท ที่เคารพนับถือหลวงพ่อมากได้ขอตะกรุดท่านไปใช้พกติดต ัว ขณะหาเสียงถูกผู้ที่ปองร้ายใช้ระเบิดปาใส่ ปรากฏว่า ส.ส.ท่านนั้นไม่เป็นอะไรเลย

    ขอบคุณที่มา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระสมเด็จคะแนนเนื้อโลหะหลวงพ่อมหาโพธิ์วัดคลองมอญ ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250304_021848.jpg IMG_20250304_021937.jpg
     
  10. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    _379_221.jpg
    421540-3e13c.jpg

    get_auc3_img (19).jpeg


    เหรียญหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต รุ่น.๕ ปี พ.ศ.๒๕๑๗
    ออกวัดสารนารถธรรมมาราม อ.แกลง จ.ระยอง หลวงปู่ทิม แห่งวัดละหารไร่ ร่วมพิธีปลุกเสก
    เนื้อทองแดงรมดำ ผสมมูลเหล็กไหล สภาพสวยเดิม พบเจอน้อย เป็นเหรียญรูปไข่ขนาดกลาง ขอบเกลียวเชือก พิมพ์หน้าตรงครึ่งองค์ หลับตาสมาธิ ห่มลดไหล่พาดสังฆาฏิ ตัวหนังสือด้านล่างโค้งไปตามขอบเหรียญ "หลวงปู่จันทร์ เขมปฺปตฺโต" วัดจันทราราม ด้านหลังยันต์มหาอุตม์ "อะ มะ นะ อุ " ในเส้นลวดรูปดอกจิกและอุณาโลม อักขระขอมด้านล้าง " จะ พะ กะ สะ "ตัวหนังสือด้านบนโค้งไปตามขอบเหรียญ "พัฒนาวัดสารนาถธรรมาราม ระยอง" ด้านล่างสุดระบุ"พ.ศ ๒๕๑๗ " มีเฉพาะเนื้ออัลปาก้าและทองแดงรมดำ สร้างโดยวัดสารนาถธรรมาราม อ.แกลง จ.ระยอง เหรียญทองเเดงรมดำบาง
    ผู้สร้างอ้างว่าทุกเหรียญผสมด้วยมูลเหล็กไหล มูลเหล็กไหลนี้ พระอาจารย์จันทร์ได้มาขณะธุดงค์ปลีกวิเวก เป็นก้องหินผสมแร่เหล็ก ใช้แม่เหล็กดูดติด ท่านเคยแจกตำรวจตระเวณชายแดนและทหาร นำไปทดลองยิงด้วยปืน เอ็ม ๑๖ และปืนลูกซองห้านัด ปรากฏว่ายิงไม่ออกเลยแม้แต่นัดเดียว นายสถิต เจริญพร ผู้ใหญ่บ้านปากน้ำประแส อ.แกลง จ.ระยอง ผู้จัดหาเรือนำส่งพระอาจารย์ ปลีกวิเวก นั่งกัมมัฏฐาน ณ เกาะมันกลาง (ประมาณ ๔๐ วันก่อนกลับ จ.หนองคาย) ได้นำมูลเหล็กไหลไปทดลองยิงด้วยปืนลูกโม่จุด.๓๘ ก็ยิงไม่ออกเช่นกันอย่างน่าอัศจรรย์
    ************************************************
    พระอริยเจ้าพ่อแม่ครูอาจารย์ศิษย์อาวุโสองค์หนึ่งของท่านพระอาจารย์ใหญ่มั่น ภูริทัตโต ที่น่ากราบไหว้ได้สนิทใจอีกองค์ ธรรมะปฏิบัติ ปฏิปทา และพลังจิตของท่านเข้มขลังไม่ธรรมดา ถ้าในวงศ์พระกรรมฐานท่านก็คือ พระหมอชื่อดังมาก ทั้งน้ำมนต์และการรักษาโรคที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หายนั้นท่านช่วยรักษาได้หมด"
    คือเมื่อเอยถึงหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต แล้วน้อยคนนักที่จะไม่รู้จักท่าน เหตุว่าท่านเคยมีข่าวเกรียวกราวลงทางหน้าหนังสือพิมพ์ ซึ่งสร้างความน่าทึ่งมหัศจรรย์ให้แก่วงการแพทย์ของเมืองไทยมาแล้ว
    เรื่องมีอยู่ว่า ลูกชายของนายพลท่านหนึ่งจากฝั่งลาวเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ เศษกระจกทิ่มเข้าที่ดวงตา รักษาหมอแผนปัจจุบันก็ไม่ดีขึ้น และในช่วงนั้นชื่อเสียงของหลวงปู่จันทร์และน้ำมนต์ของท่านดังมาก นายพลท่านนั้นจึงพาลูกชายมาให้หลวงปู่จันทร์เมตตารักษาให้ ท่านจึงเพ่งกระแสจิตรักษาให้ หลวงปู่จันทร์เพ่งกระแสจิตให้ไม่ถึงครึ่งนาที เศษกระจกละลายกลายเป็นน้ำตาไหลออกมา ตกที่พื้นจับตัวเป็นก้อนกลม โดยไม่ต้องผ่าตัด ดวงตามองเห็นได้ตามปกติ และบารมีท่านสมัยนั้นก็ไม่ธรรมดา นี่คือ พลังศรัทธาที่ทำให้วัดจันทรารามที่เคยเป็นวัดเล็กๆ เกือบจะเรียกว่า วัดร้าง ได้รับการบูรณะอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่เล่าขานกันของชาวจังหวัดหนองคาย ในช่วงประมาณปี พ.ศ.๒๕๑๖ สายธารแห่งศรัทธาหลั่งไหลเข้าสู่วัดท่าน ทั้งต้องนิมนต์ท่านไปช่วยสร้างวัดสารนารถธรรมาราม ต.ทางเกวียน อ.แกลง จ.ระยอง อีกด้วย บอกได้เลยว่าไม่สามารถจะหาคำพูดใดมาบรรยายได้ ท่านเป็นลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ที่น่ากราบไหว้อีกองค์หนึ่ง (จากหนังสือพระเครื่อง) ถ้าเป็นพ่อแม่ครูบาอาจารย์ร่วมสมัยจะเรียกหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต นี้ว่า หลวงปู่จันทร์ เหล็กไหล เพราะลูกศิษย์พระอาจารย์มั่น ชื่อจันทร์ มีหลายรูป เช่นเดียวกันกับหลวงปู่พวง มีหลวงปู่พวง เหล็กไหล (บ้านปูลู-บ้านเชียง หนองหาน) เพราะสองท่านนี้ชอบแสวงหาเหล็กไหล ไพลดำ เป็นประจำเวลาเดินธุดงค์
    มูลเหตุความเป็นมาของเหรียญหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต ที่ออก ณ วัดสารนาถธรรมาราม จ.ระยอง ปีพ.ศ. ๒๕๑๗ วัดสารนาถธรรมาราม นี้ท่านเจ้าคุณมหารัชมังคลาจารย์ (พระอาจารย์ของคุณแม่บุญเรือน โตงบุญเติม) เจ้าอาวาสวัดเกาะ วัดสัมพันธ์วงศ์ กรุงเทพฯ องค์ก่อนสร้างมหาปูชนียสถาน อุโบสถ จตุรมุขไว้สวยงามมาก พระประธานคือ**พระพุทโธจอมมุณี**และต่อมาพระอาจารย์ไฉง เป็นเจ้าอาวาสก็ได้สานต่องานของท่านเจ้าคุณมหารัชมังคลาจารย์ และขระนั้นท่านได้ก่อสร้างศาลาการเปรียญขนาดใหญ่ ๒ ชั้น ก่อสร้างแล้วเสณ็จประมาณ ๗๐ % ศาลาหลังนี้จะเป็นสถายที่ศึกษาพระธรรมวินัยและบาลีสงฆ์ ทางวัดก็ยังใช้ทุนทรัพย์อีกเป็นจำนวนมากจึงได้นำวัตถุมงคลบางส่วนที่เหลือจากปีพ.ศ.๒๕๐๖ ออกมาให้ประชาชนได้บูชา อาทิเหรียญพระประธานวัดสารนาถฯ, พระเนื้อผงหลวงปู่แหวน สุจิณโณหลายพิมพ์, และพระเหรียญรูปเหมือนหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต ในปีพ.ศ. ๒๕๑๗ หลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต วัดจันทราราม อ.เมือง จ.หนองคาย ท่านเดินทางธุดงค์ไป ณ เกาะมัน กลางทะเลลึกในเขต อ.แกลง จ.ระยอง ท่านเห็นงานก่อสร้างของวัดสารนารถฯ ยังค้างอยู่ ท่านเมตตาจึงมอบมูลเหล็กไหล ให้ทางวัดนำไปผสมโลหะจัดสร้างเป็นเหรียญขึ้น และองค์ท่านก็แผ่เมตตาให้ บรรจุพุทธคุณให้เป็นพิเศษ ในปีพ.ศ. ๒๕๑๗ ตามหนังสือเก่าที่เคยตีพิมพ์เอาไว้
    -เหรียญทองแดงผสมมูลเหล็กไหล แจกผู้ทำบุญ ๒๕ บาท
    -เหรียญเหล็กขาวผสมมูลเหล็กไหล แจกผู้ทำบุญ ๓๕ บาท (สมัยนั้นเนื้ออัลปาก้าอาจจะเรียกว่าเหล็กขาวก็เป็นได้)
    -รูปหล่ออุ้มบาตร บรรจุมูลเหล็กไหล แจกผู้ทำบุญ ๒๙๐ บาท
    FB_IMG_1741037862123.jpg


    เหรียญหลวงปู่จันทร์ เขมปัตโต ผสมมูลเหล็กไหล
    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250304_022142.jpg

    IMG_20250304_022210.jpg
     
  11. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    12,880
    ค่าพลัง:
    +21,362
    เมื่อวานจัดส่ง

    1741038974207.jpg

    ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...