กรุยทางสู่ตำแหน่งนางพยามาร ยังไงก็ไปไม่ถึง

เหนื่อยใจ....พระไตรปิฎก มีตั้ง ๘๔๐๐๐ ข้อ ใครจะรู้ได้หมด
ไหนยังจะ พระพุทธศาสนาทางฝั่งมหายาน และพระพุทธศาสนานิกายอื่นๆอีก
ที่อาจจะมีผู้ไปศึกษามาแล้วนำมาเผยแพร่ๆ ซึ่งเองก็ไม่รู้ และจำเป็นต้องเคารพ
ในฐานะเป็นพุทธศาสนาเหมือนกัน

สิ่งที่ทำได้ ก็เพียงแต่คอยสังเกตว่า ใครที่นำคำสอนทางฝั่งเถรวาท มาบิดเบือนตรงๆ หรือเอามายำรวมกันศาสนาอื่นๆ ที่ดูแล้วพอจะมองออกได้โดยง่าย
หรือใครที่นั่งเทียนเขียนมั่ว ซึ่งดูแล้วไม่ใช่ลักษณะของคนที่บอกเล่าประสบการณ์ทางจิตที่พบเห็นจากการปฏิบัติ ซึ่งเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเขา...

 

นี่ลุงไม่รู้จริงๆหรือ ว่าคุณคนนี้เขาขายลูกแก้วกายสิทธิ์ต่างๆ
ที่เขาอ้างว่าเสด็จมาที่บ้านบ้าง ไปเชิญมาจากถ้ำบ้าง โผล่มาจากใต้พื้นพิภพบ้าง
แล้วเอามาประมูลขาย เพื่อหาเจ้าของลูกแก้วที่แท้จริง(เจ้าของที่แท้จริงบ้าอะไร
จะได้รับของๆตัวเองโดยผ่านการประมูลซื้อขายเอา)
คือมันก็เหมือนกับพวกที่ขายเพชรพญานาคนั่นแหละ...

 

ดังนั้น ผมจึงไม่อยากจะเชื่อข้อความที่มีผู้ไปก๊อบปี้มาแสดงยังไงล่ะ
เพราะมันมองออกถึงพฤติกรรมของคนที่เป็นเจ้าของเครดิสข้อความ...เลยไม่อยากจะเชื่อ..

 

อ้างอิงแบบย่อ จากข้อความของคุณ Yostro1310

แรกๆก็จะเป็นแค่การฟังหูไว้หู แต่พอนานๆไป หรือถูกตอกย้ำบ่อยๆเข้า ในที่สุดก็จะกลายเป็นความเชื่อขึ้นมาจริงๆ(ในใจลึก)

//////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
ถ้ามันกลายเป็นความเชื่อฝังใจขึ้นมาจริง ๆ ก็คิดซะว่าหลงทางเสียเวลาก็แล้วกันครับ

วันหนึ่งถ้าเราได้รับรู้อะไรที่จริงกว่าขึ้นมา เดี๋ยวความเชื่อนั้นก็จะถูกลบล้างไปเอง ต่อให้มันฝังอยู่ในจิตในใจลึกแค่ไหน ถ้ามันเจอกับความจริง เดี้ยงหมด

อย่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์หลาย ๆ อย่าง
เช่น
สมัยก่อนคนเชื่อว่าโลกแบน ตอนนี้ทุกคนได้รู้ว่าโลกกลมเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เป็นต้น

เพราะผมมีความคิดแบบนี้ ประกอบกับประสพการณ์ชีวิตที่เกิดมาโง่ ทำให้ได้รับบทเรียนว่า "ถึงสิ่งที่คนอื่นพูดจะจริงแค่ไหน ก็ไม่ควรเชื่อถ้ายังไม่รู้เอง" มาเป็นกฏเหล็กในการดำเนินชีวิตครับ ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรก็พิสูจน์ซะ ถ้ายังไม่มีความสามารถที่จะพิสูจน์ได้ ก็เก็บไว้ก่อน แต่ก็ให้มีสติว่า เรื่องที่เรายังไม่ได้รู้ด้วยตัวเอง(โดยเฉพาะเรื่องที่ยากจะเชื่อ)มันก็มีค่าเท่ากับเรื่องที่ไม่จริง ประมาณนี้แหละ วันไหนมีกำลัง มีทรัพยากรณ์ (ปัญญา + ญาณ) ที่เอื้ออำนวยให้เรพิสูจน์ความรู้นั้นได้ก็ค่อยทำ = =

 

ก็พอจะมีคนที่กลัวโลกแตกอุดหนุนกันไปหลาย
เม็ดละมัง..
แต่ก็มีอีกฝ่ายมาบอกว่าเลื่อน
ไปอีกหน่อยปี 60 เอาแน่เอาแน่
บางคนก็ขายตู้คอนเทนเนอร์มาทำเชลท์เตอร์
หลบภัยแทนบ้าน
บ้างก็ขายไฟฉายบ้าง
มีดยังชีพ กระเป๋ายังชีพ..
....มีวิกฤติต้องฉวยโอกาส555

 

ถ้าเป็นในทางโลกนั้น อาจจะไม่นานเท่าไหร่ เพราะเดี๋ยวความจริงก็ปรากฏ
หรือไม่ก็มีทฤษฎีใหม่ มาหักล้างทฤษฎีเก่าเสมอๆ

แต่...ความเชื่อทางศาสนานั้น อาทิเช่น สภาพภายในพระนิพพานเป็นต้น...
คงนานหน่อย กว่าจะได้รับรู้ความจริงมาหักล้างข้อมูลเหล่านั้น และชะล้างมันออกไปจากใจได้ บางทีอาจรอทั้งชีวิต...

 

ผมมีความรู้สึกว่า ความสามารถในการจินตนาการ ในการแต่งเรื่องแต่งราวที่มัน
พิศดารพันลึกของสองคนนี้(น้ำใส-ดอกบัวสรรค์) มันใกล้เคียงและคล้ายกันมาก
และเหลี่ยมคูในการพูดเอาตัวรอด ก็คล้ายๆกันมากแบบมืออาชีำพ

ดังนั้นผมจึงได้เตือนลุงว่า ระวังจะเป็นการไปจุดใต้ตำตอเข้า
ลุงไม่เห็นหรือ เมื่อเช้านี้ ทันทีที่ลุงเข้าไปคอมเม้นท์ในห้องอภิญญา-สมาธิไม่ทันไร คุณดอกบัวสวรรค์ก็ตั้งกระทู้เปิดประเด็นถึงลุงแล้ว
แสดงว่า สองคนนี้มันต้องมีอะไรที่เกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่ใช่คนเดียวกัน
ก็ต้องเป็นศัตรูกัน แต่ดูจากความสามารถในการแต่งเรื่องราวพิศดารเหนือโลกแล้ว
มันน่าจะเป็นคนเดียวกันมากกว่า...

 

ก็มี 2 ทางครับ

1.วางเพื่อหลุดพ้นในชาตินี้

ถ้าวางมันไม่ลงก็
2.ไม่ต้องวางเพื่อไปรู้ในวันข้างหน้าในอนาคต ไม่วันใดก็วันหนึ่ง

อย่างผมเนี่ย ปรารถณาพุทธภูมิ เรื่องไหนอยากรู้แต่ความสามารถไม่ถึง ไม่คิดยากอะไรเลย ก็ถือมันไปทั้งอย่างนี้แหละ ทำตัวเองให้ดี แต่ไม่ประมาท พยายามขัดเกลาความสามารถตัวเองเสมอ ชาติหน้า ๆ ไป ถ้าความสามารถถึง เดี๋ยวเราก็รู้ได้เอง

 

น่าสนใจฮะ
แต่ไม่ค่อยแน่ใจเรื่องอัตลักษณ์บุคคล
แต่พฤติกรรมของเขาโดนแทรกแซงจากอำนาจ
ภายนอกแน่ ....พิมพ์ข้อความได้รวดเร็วผิดมนุษย์
และผูกเป็นเรื่องเป็นราวให้คนอ่านติดตามได้เป็นร้อย
ร้อยคน...มีอำนาจบงการแน่นอน

 

เรื่องปลูกฝังความเชื่อผิดๆ

ไม่ต้องเราอะไรมาก เอาแค่เรื่องที่มีผู้มาปล่อยข้อมูลว่า ถ้ากดไลก์ กดอนุโมทนา ให้คนอื่น
แบบมั่วๆ ให้ระวังจะถูกฝังชิพ ล้างสมอง หรือมีวิญญาณมนุษย์ต่างดาวมาเข้าสิง
แรกๆผมไม่ยอมเชื่อโดยเด็ดขาด
แต่พอมาอ่านบ่อยๆเข้า เห็นข้อความบ่อยๆ ชักเริ่มเขวแล้วเหมือนกัน
ตอนนี้ เวลาจะกดไลก์ กดอนุโมทนาให้ใคร ก็ต้องระมัดระวังอยู่เหมือนกัน
กับบางคนกดให้ได้ โดยไม่ต้องระแวง
กับบางคน กดให้ได้แค่ไลน์ ไม่กล้ากดอนุโมทนา
กับบางคน กดให้อนุโมทนาได้ แต่ไม่กล้ากดไม่เห็นด้วย

ดังนี้ ลุงก็ลองไปคิดใคร่ครวญดูก็แล้วกันว่า มิจฉาทิฏฐิที่เสพเข้าไปทุกวันๆวัน มันมีอิทธิพลแค่ไหน
แรกๆอาจบอกตัวเองว่าไม่เชื่อ แต่พอนานๆไป ก็เริ่มถูกน้อมน้าวให้เชื่อ และยอมรับดดยไม่รู้ตัว

ทุกวันนี้ ผมเวลาจะกดอะไรให้ใคร จึงต้องคิดก่อน....

 

ดอกบัวสวรรค์ มีพลังแฝงบางอย่างในข้อความของเขา
ที่จะดึงดูดผู้อ่านให้รู้สึกซาบซึ้ง....
มันเป็นพลังอะไรผมก็บอกไม่ได้ แต่รู้ว่า
ในเว็บนี้ มีสอง-สามคน ที่มีหรือใช้พลังแบบนี้อยู่...
เมื่อสี่ห้าปีก่อน ผมเคยพบผู้ใช้พลังแบบนี้ที่เว็บอื่น
แต่ว่า ผู้ใช้จะเป็นสมาชิกฝั่งผู้ชาย...
ตรงกันข้ามกับที่เว็บนี้ ที่พบผู้ใช้เป็นสมาชิกฝ่ายหญิง..
เข้าใจว่า จุดประสงค์ในการใช้
คือต้องการความชื่นชมนิยมในข้อความและตัวบุคคลผู้เขียน
ซึ่งจะนำไปสู่การเชื่อถือต่อไป...

 

แบบที่ผมบอกว่า พลังไอมารมันเยอะนั่นแหละ
ดังนั้น เรื่องเมื่อบ่ายนี้ ผมเข้าไปอ่านนิดหน่อยๆแล้วก็รีบออกมาเลย
ไม่อยากอยู่นาน และไม่อยากอ่านรายละเอียด
เขาเขียนอะไรถึงผมบ้างก็ไม่ทราบ...
เพราะว่าวันนี้ไม่ได้เตรียมพร้อม...

จะรออ่านจากที่ลุงไปก๊อบปี้มา ลุงก็บอก ไม่เกี่ยวกับลุง เลยไม่ยอมก๊อบปี้...

 

ธรรมดำ ๑ มีอะไรบ้าง
ธรรมขาว ๑ มีอะไรบ้าง
ธรรมที่ทำให้หลุดพ้น ๑ มีมีอริยสัจจ์ ๔และมีมรรคมีองค์ ๘

พุทธชนจะเลือกธรรมประเภทไหน...มานำชีวิต

 

กับคนบางคนเขาอาจจะรู้สึกชอบมั้ง กับความรู้สึกชนิดนั้น(ถูกครอบงำให้รู้สึกซาบซึ้ง)
วันนั้นที่ดอกบัวสวรรค์ ไปโพสต์ที่ห้องอภิญญา เห็นคุณ นี 653 เขาบอกว่าเขาชอบ
เขายอมมอบชีวิตให้เลย แถมยังบอกอีกว่า เป็นเพราะผมไม่เคยรู้จักความบริสุทธิ์มาก่อน..

 

ดังนั้นแหละ จึงต้องพยายามหลีกเลี่ยงมิจฉาทิฏฐิ
อย่าไปรับหรือไปเสพเข้า เพราะถ้ารับมาแล้วมันมีผล
ไม่อย่างนั้น พระพุทธเจ้าท่านจะสอนทำไมว่า อเสวนา จ พาลานํ
การไม่คบคนพาล เป็นมงคลสูงสุด
ถ้าเสพทุกวัน อ่านทุกวัน ไม่วันใดวันหนึ่งก็ต้องพลอยมีความเห็นผิดจนได้
ดังนั้น บรรดาอกุศลกรรมทั้งหมด มิจฉาทิฏฐิ จึงถือว่าอันตรายที่สุด..

 

โดยเฉพาะ พวกที่ชอบพูดว่า ให้ใช้ใจ อย่าใช้สมอง
ซึ่งก็คือ การตัดสินด้วยความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้น
เพราะตัดสินด้วยความรู้สึก โดยไม่ใช้เหตุผล
ใจที่โลเลกลับกลอกเป็นหลักอยู่แล้ว จึงถูกโน้มน้าวให้เชื่อได้ง่ายๆ

 

ดังนั้นเอง คำสอนแบบงมงาย
ว่าสวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ
จึงพัฒนาคนให้เข้าถึงกระแสหลุดพ้นไม่ได้ดังว่า

 

มันมีอยู่สองคำ ที่พูดต่อๆกันมา โดยที่ไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของคำพูดนี้
คือคำว่า

สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ ตามที่ลุงแมวว่ามา
กับคำว่า ศาสนาทุกศาสนาล้วนแต่สอนให้คนเป็นคนดี

 

สรุปสั้นๆคับสำหรับผม กรรมใครกรรมมัน
ทำมาแบบไหนก็จะได้แบบที่ทำ
ทุกเหตุปัจจัยอยู่ภายใต้กฏนี้
"กฏแห่งจักรวาล กฏแห่งกรรม" สิ่งเดียวกัน
ใครชอบแบบไหนเลือกได้ตามชอบ
ตามเหตุและปัจจัยที่ได้ทำมาเช่นกัน
ส่วนผมรักพระพุทธองค์เป็นที่สุด...
จับสติไว้ให้มั่น รู้ทันทุกสภาวะอารมณ์ที่เกิด
รับรองไม่นานเกินรอ...
ปล.ดีใจที่เข้ามาเจอแต่กัลยาณมิตร
ทำไมผมไม่ลืมเวปพลังจิต..
เพราะเวปนี้ทำให้ผมเจอกัลยาณมิตรที่ดีคับ rabbit_eating
(แค่นี้ก่อน เด่วจะออกทะเลไป ฮ่า)

 

ผมเห็นเพื่อนผมอยู่ในกระทู้ลุงแมว ผมอยากทัก แต่ผมไม่กล้า
เพราะเค้าคงลืมผมไปแล้ว:'(
ปล.ไปก่อนคับ ลุงแมว ฝันดีครับผม..คร่อกฟี๊ๆ