ว่าด้วยมูลกรรมฐาน ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย กล่องไม้ขีดไฟ, 9 มิถุนายน 2016.

  1. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ทีนี้ " ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง " ก็ยังจัดเข้า กรรมฐาน และ เข้ากับ คำสอน
    หลวงปู่มั่น(ซ.ต.พ.) ในวรรคสุดท้าย นั่นได้อยู่

    ส่วน น้องๆ หนูๆ คนไหน ใช้ อานาปานสติ และ ไม่ได้ อวตารมาสร้างกระตู้ฮู้

    ไม่ต้อง กร่อนลงมา พิจารณา " ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง " เพราะ อานาปานสติ
    เป็น วิบากจาก กรรมฐาน5 อยู่แล้ว มันเนื่องกัน จึงไม่จำเป็น ต้องถอยลงมาแต่
    อย่างใด ไม่เชื่อ สังเกตปิติ ( หากมาเห็น ตกจาก อานาปานสติ แล้ว ฮับ ชิ้วๆ )


    ปล. ใครกลัวไม่มีกำลัง ให้สังเกต นามกายใกล้ๆอาการโชย แล้วอย่าเจตนา
    ไปเห็น เดี๋ยวมัน พรึ๊บ !! ของมันเอง
     
  2. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ขออนุญาตแสดงความคิดเห็นบางประการนะครับ เกี่ยวกับเรื่องการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก ผมโพสต์ช้าไปหน่อย แต่ก็มีความจริงใจจะบอก อย่าว่าอวยอะไรกันเลย ตรงไปตรงมาตามธรรมครับ

    เรื่องการแสดงความคิดเห็น

    เอาพระธรรมเป็นใหญ่ครับ แล้วเรื่องอื่น ๆ ปลีกย่อยจะกลายเป็นเรื่องขี้ประติ๋วไปในทันที อันนี้พูดก็พูดเถอะครับ วัดอะไรได้เยอะเหมือนกัน ทำไมว่ายังงั้น ก็ถ้าความศรัทธาในพระธรรมหยั่งลึกลงในจิตใจได้อย่างแท้จริง เป็นศรัทธาที่ไม่สั่นคลอนแล้ว อานิสงส์แห่งความศรัทธาพระธรรม จะคุ้มครองรักษาให้เอง ไม่ให้ตกไปในที่ชั่วได้ คือเราก็แยกส่วนที่เป็นสาระกับอสาระออกครับ เอาแต่ส่วนที่เป็นสาระก็พอ ที่ติดโน่นติดนี่กันอยู่ ก็คือติดมลทินที่มีในตนเองนั่นแหละครับ ก็เรียนรู้ร่วมกันไป ผิดถูกดีชั่วยังไง ใครทำกรรมอย่างไรก็รับผลอย่างนั้นครับ มันเป็นหนึ่งในกระบวนการเรียนรู้ทุกข์เหมือนกัน ถือว่าส่งเสริมกันไป เจ็บแล้วก็ต่างคนต่างจำกันไปเองครับ

    ทีนี้มาพูดถึงสิ่งที่เป็นสาระต่อ สาระที่เขาพูด ต้องยอมรับว่า น้อยคนจะเข้าใจนะครับ แต่ถ้าคนที่มีใจมุ่งฝักใฝ่ต่อความหลุดพ้นแล้วล่ะก็ ไม่ยากครับ ถ้าพื้นฐานการสละออกจริงๆ มีอยู่แล้ว ไม่ยากที่จะตามทำความเข้าใจได้ จริงๆ บางทีบางคนผมว่า ก็น่าจะเข้าใจอยู่แหละ แต่เจ้าของมันไปติดมลทินในใจตัวเองซะก่อน อกุศลมันเกิดแรงกว่า ศรัทธาในพระธรรมมีไม่พอ เพราะยังไม่แจ้งชัดในธรรมอย่างที่เขาพูดพอ แม้ธรรมจะราดรดอย่างหนักก็ยังไม่โดนใจ เขาพูดอะไรมันก็เลยไปติดอยู่แค่คำที่ไม่ถูกหูเท่านั้นเอง แต่คนมีใจฝักใฝ่ในธรรม สมาทานการข้ามวัฏฏะจริงๆ เขาฟังออก คนเขามาบรรลือสีหนาทให้พระธรรมของพระพุทธองค์ เอาพระธรรมของพระพุทธองค์มาโปรดสัตว์ ช่วยรักษาพระศาสนา ไปขวางได้หรือ เราเองก็เห็นจริงในสัจธรรมดังเขาว่าเป็นธรรมนั้น ทุกประการ ยอมรับในพระธรรมอันนำพ้นทุกข์ เคารพในธรรมอย่างสูงสุด และด้วยอานุภาพแห่งสัจธรรมความจริงนั้น อกุศลมลทินอะไรก็ทัดทานไม่อยู่หรอก ความบันเทิงในธรรม ทำให้เกิดความสงบระงับลงชั่วคราว เห็นธรรมเครื่องนำทางหลุดพ้นเป็นใหญ่เหนือกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมดนั่นแหละครับ

    ヽ(´▽`)ノ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 มิถุนายน 2016
  3. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    มาเจอกระทู้นี้พอดี พึ่งไปถอนฟันที่ผุมา ฟันกรามซี่ในสุดผุมานานแล้ว ปวดมาก ต้องกินยาพารา พอหายปวดแล้ว รีบไปหาหมอทันที หมอบอกมันผุจนทะลุโพรงประสาทแล้ว ยังไงก็ต้องถอนออก ให้หมอถอนออกเลย หมอฉีดยาชา 2 เข็ม สักพักถามว่าเริ่มชายัง เราก็ไม่รู้สึกหรอกว่ามันชาหรือยัง แล้วหมอก็ทำการถอนเลย เอาคีมยัดเข้ามาในปาก งัดอยู่ที สองที ได้ยินเสียง ดัง กึดๆๆ แต่ไม่รู้สึกเจ็บอะไร หมอบอกเสร็จแล้ว ไวมากแทบไม่ทันรู้สึก แล้วเอาผ้าก๊อซให้เรากัดไว้ตรงที่ถอนฟันออกเพื่อให้เลือดหยุดไหล บอกให้เรากัดไว้สัก 2 ชม. แล้วเอาฟันซี่ที่ถอนออกมาให้ดู ผุจนเนื้อฟันหายไปเกือบครึ่ง เลือดแดงๆนี่เกาะเต็มฟัน ตอนนั้นนึกกรรมฐานอะไรไม่ออก ตอนหมอจะถอนก็รู้สึกกลัวเกร็งนิดๆ เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยถอนฟันเลย แต่มันก็กลัวซะอย่างนั้น กลัวว่ามันจะเจ็บ
    แล้วก็มานั่งกัดผ้าก๊อซอยู่ที่บ้าน นั่งคิดไป ว่า สังขารนี้ไม่เที่ยง มีแต่เสื่อมสลายไปตามเวลา ถ้าเกิดถึงเวลาที่เราจะตายขึ้นมาจริงๆ จะมีเวลาเข้ากรรมฐานทันไหมหนอ จะรวบรวมสติ สมาธิที่อุตสาห์ฝึกฝนมาได้ไหมหนอ ถ้าต้องมาตกม้าตายตอนจบนี่ ก็แย่เลยนะ แต่ก็คิดว่า เอาวะ อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด คิดวิตกไปล่วงหน้าก็ไม่เกิดประโยชน์
    ความกลัว นี่ สำคัญนะ อย่าได้ดูถูกความกลัว บางที มันก็ทำให้สติเรากระเจิงได้ง่ายๆ
     
  4. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    การปฏิบัติธรรมจริงๆ ก็ปฏิบัติกันตรงหน้าตลอดเวลานี่เองแหละครับ ปัจจุบันทันด่วนทุกครั้งไปเท่าที่สติสัมปชัญญะจะตามระลึกได้ และมีการกระทำไว้ในใจโดยแยบคายด้วยดีในพระสัทธรรมคำสอน บุคคลล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร (สัมมัปปธาน ๔) การปฏิบัติคือปฏิบัติให้ได้ทุกอิริยาบถ ฟังดูยากจัง จริงๆ ก็คือ มรรคทั้ง ๘ ให้หมั่นเจริญรอยตามนั่นเอง พระธรรมของพระพุทธองค์ไม่จำกัดชนชั้น ปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จำกัดกาลครับ
     
  5. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    รู้ทฤษฏีรู้มาก รู้ได้ระดับจักรวาล มันก็เป็นเพียง
    ปัญญาทางสมมุตินั้นหละครับ....
    ส่วนผลที่ได้จากการรู้ หรือการปฏิบัติ มันต้อง
    เจอประสบการณ์จริงๆด้วยตัวเองครับ
    ..ถึงจะเป็นเครื่องชี้วัดผลการปฏิบัติ
    ของเราได้.ถ้าเรารู้ตัวตรงนี้เราถึงจะไม่ประมาท
    ไม่เผลอคิดไปว่าตัวเรานี้รอดแน่
    หรือคิดไปตามกิเลสว่า
    ตัวเองเนี่ยเก่งกว่าใครเค้า..

    .อย่างเรื่องถอนฟันหรือขูดหินปูน เป็นเพียงเรื่องหนึ่ง
    ที่สามารถใช้ตรวจ
    สอบผลการปฏิบัติของเราได้ครับ
    เคยเขียนไว้เมื่อ ๒ ปีก่อนว่า ในขณะที่คุณหมอ
    กำลังใช้เครื่องมือทำอะไรกับฟันเรานั้น
    โดยที่ไม่ฉีดยาชานะครับ
    ..ว่าเราสามารถที่จะยกจิต
    ตัวเองไปอยู่ที่ไหนได้หรือเปล่า
    หมายถึง สามารถที่จิตจะตัดร่างกายได้จริงๆไหมและภายใน
    ณ เวลานั้นและไปได้ หรือตัดได้ กี่วินาทีนั่นหละครับ
    ไม่ต้องไปคิดเทียบเป็นระดับนาที
    เหมือนพระมีชื่อท่านต่างๆก็ได้ครับ..

    เห็นมาเยอะแล้วครับเห็นกับตาตัวเองด้วย..
    ที่โม้หนักโม้หนาว่าข้าเก่ง ข้าไม่กลัวตาย..
    ข้าพร้อมที่จะตายได้ทุกเมื่อ..
    พอโดนปืนจ่อศรีษะเห็นตัวหดเหลือเท่ามด...
    พอจะโดนทำร้ายร่างกาย วิญญานนักวิ่งทีมชาติเข้าสิงทันที..
    หรือพวกปากดี พอเจอคนจริงเค้าให้ลูกน้อง
    อุ้มไปเพื่อกระทืบ.. ร้องเสียงเหมือน
    สุนัขหลงทางเกือบทุกราย..

    ที่เล่าให้ฟังก็แค่เตือนๆเพื่อความ
    ไม่ประมาทเท่านั้นเองครับ
    รู้จักออกไปนอกบ้านบ้าง
    เพื่อฝึกภาคสนามบ้าง..
    จะได้รู้ว่าโลกภายนอกเค้าไปถึงไหนแล้ว..
    อยู่แต่ในบ้าน เก่งแต่ในบ้าน มันจะทำ
    ให้เข้าใจตัวเองได้คลาดเคลื่อนอย่างไม่น่าเชื่อ
    ที่สำคัญมันถึงจะได้ไม่หลงตัวเองด้วยครับ
    ไม่มีอะไรมาก...
    แค่เล่าให้ฟังครับ
     
  6. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    ผมว่า...ความกลัวนี่เป็นสัญชาติญานเดิมที่แท้จริงของสัตว์นะครับ เรากลัวในหลายๆๆสิ่ง กลัวในเรื่องที่เราไม่รู้ กลัวตาย กลัวสารพัดที่จะกลัว เคยฟังคำสอนหลวงปู่ชาที่ท่านต่อสู้ความกลัวโดยไปนั่งสมาธิในป่าช้าที่ เขาหามผีมาเผา นับถือท่านมากจริงๆ พระธุดงค์ที่ท่านออกธุดงค์ก็เพื่อขจัดสิ่งเหล่านี้ออกไปจากใจ อย่างเราได้แต่นั่งโม้อยู่หน้าคอม อยู่แต่ภายในบ้าน ไม่เคยออกไปเจอประสบการณ์จริง ความแข็งแกร่งของจิตใจและกำลังของสติปัญญาสมาธิ ไม่มีทางจะเทียบพระธุดงค์ท่านได้เลย
     
  7. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,441
    ค่าพลัง:
    +35,042
    ใช่ครับ ประมาณที่คุณ Xtrem
    เล่ามาเลยครับ... ส่วนตัวเห็นด้วยนะครับ..
    แต่ว่ามันก็มีข้อดีในการออกภาคสนามอยู่ครับ...
    อย่างไปป่าช้าเนี่ย ก็คือ
    มันเห็นความคิดปรุงแต่งเราได้ชัดเจนดีมากครับ
    แค่เราขนลุกเวลาเดินผ่านที่มืดๆเนี่ย
    ก็แสดงว่าเราปรุงแต่งไปเรียบร้อยแล้วครับ
    มันถึงได้ส่งผลออกทางร่างกาย..
    อย่างเมื่อก่อนเนี่ย ตอนที่ฝึกนั่งสมาธิอย่างเป็นทางการครั้งแรก
    ส่วนตัว ถือเทียนไปเล่มหนึ่งแล้วไปนั่งข้างหลุมศพในป่าช้าเลยครับ
    และปัจจุบันนี้.ส่วนตัวไปเดินเล่นป่าช้าบ่อยๆครับ
    ตรงที่เค้าบอกตรงนี้มีโน้นนั้นนี่..
    บางทีก็ไปบ้านที่มีคนตายแล้ว
    คนในบ้านว่าเฮี้ยนๆ ก็ไปครับ..
    ป่าช้าเนี่ยไป ช่วงเลยเที่ยงคืนไปแล้ว
    ไปคนเดียวนี่หละครับ
    เคยชวนคนอื่นๆเค้าไม่ไปด้วยครับ ๕๕๕..
    มันทำให้เห็นความคิดปรุงแต่งเราได้ง่ายมากๆครับ
    จะรู้ตัวเลยว่า ความสามารถภาคปฏิบัติเราเป็นยังไง
    เรากลัวมาก กลัวน้อย ปรุงมาก ปรุงน้อย กลับมาได้ช้า
    กลับมาได้เร็ว จะได้รู้ตัวเองกันไปเลย ก็ตรงนี้หละครับ

    แต่ที่เราแตกต่างๆจากพระธุดงค์แน่ๆ
    มันไม่ใช่เรื่องกลัวผี กลัวนามธรรมที่มองไม่เห็น หรือกลัวความมืด
    สิ่งที่เราต่างก็คือเรื่องกลัวความตาย หรือยอมตายครับ
    เพราะท่านเจอบทดสอบแบบของจริงๆ
    ..งูก็งูจริงๆ เสือก็เสือจริง..นามธรรมไม่ต้องพูดถึง..
    อย่างเราๆเจอแค่แต่ในฝัน
    น้อยคนจะเจอแบบลืมตานะครับ
    เอาว่าในฝันเนี่ยเจอ สัตว์ต่างๆ เจอผี
    เจออะไรก็แค่ในฝัน ทั้งๆที่ลืมตาก็ไม่มีอะไร
    ก็ยังป้องกันตัวเอง หาอาวุธโน้นนี่นั้น.
    วิ่งหนีเป็นตุเป็นตะ..
    เผลอๆฆ่าเค้าตายอีก ๕๕๕
    บอกได้ว่าสอบตกเรื่องความกลัวตายและเมตตาแบบเต็มๆ
    ที่เล่าก็เพื่อจะบอกว่า การที่จะไปถึงขั้นที่จะตัดร่างกาย
    ได้จริงๆ ถึงขั้นไม่สนใจ หรือ ว่าไม่กลัวตายเลยเนี่ย
    มันต้องใช้ระยะเวลา ใช้การสะสม รวมทั้งผ่านการ
    ทดสอบของจริงร่วมด้วย ส่วนมากที่เป็นกันมันแค่ภาค
    ทฤษฏีที่พอรับรู้มาแล้ว ก็เอามาสร้างข่มใจตัวเองไว้..
    ต้องลงไปภาคสนาม ทิ้งตำราไว้ซะ
    มันถึงจะได้รู้ตัวเองจริงๆนั่นหละครับ
    เผื่อว่าจะไม่ให้เกิดความประมาทขึ้นในใจตนเอง
    ก็เท่านั้นเองครับ..
    .
     
  8. กล่องไม้ขีดไฟ

    กล่องไม้ขีดไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    2,859
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +1,815
    เล่าจากประสบการณ์ของผมนะครับ

    ตอนแรก ผมจับลมจนจิต(รู้สึก)มันสงบ โล่งขึ้นมาแล้ว

    จากนั้นก็จะเฝ้าสังเกตุดูความรู้สึกตัวเอง

    เวลาตาเห็นรูปสวยๆ เรารู้สึกอย่างไร
    เวลาหูได้ยินเสียงเพราะๆ เรารู้สึกอย่างไร

    เราจะเห็น ตัวพอใจ เผยตัวของมันออกมา...
     
  9. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ก็สังเกตไป

    จะเหนว่า ผัสสะ ดับ
    วิญญาน ดับ (จิตเกิดทางตาดับทางตา เกิดทางหูดับทางหู เกิดทางมโนทวารดับตรงมโนทวาร ฯ)
    เวทนา ดับ

    ดับ เพราะไปตามความเปนจริง เวทนาไม่เที่ยง

    ไม่ใช่ดับ เพราะหลบเข้าไปใน ภพต่างๆทั้ง8

    แต่เหนอยู่ใน ภูมิจิตมนุษย์ปรกติ

    เปน ธรรมชาติที่ไม่มีไป ไม่มีมา ไม่ต้องเคลื่อน
    ไปไกน เสวนากับใคร ไม่มีใครเข้ามาถึงได้
    ตัวตนของตนก็ไม่มี มีสติ บริสุทธิได้เพราะอุเบากขา
    กำจัดอภิชาญา และ โทมนัสในกาลก่อนๆ เสียได้

    ภาวนาต่อ จะเปนสุญญตา ไม่หมายมั่นนิมิต(อะไรก็ได้ แล้วแต่จิตจะแล่นไป) ไม่มีที่ตั้ง(ไม่เข้าไปฉวยมาให้ค่า นิยาม บัญญัติ)

    ฟังธรรมในสิ่งที่ไม่มีใครมาแสดง แต่มีการสดับ การเข้าไปสิโรราบกราบรอยเท้านกในอากาศ เนืองๆ
     
  10. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ถ้า ยังใช้ ผม ขน เล็บ ฝัน หนัง

    เวลาภาวนา แล้วจิตเบา สว่าง สะอาดสงบ ไม่ติดประครองจิต
    (ถ้า ประครอง ก้กำหนด เวทนาเกิด ดับ) จิตจะเกิด สมถะนิมิต

    ความที่ ใช้ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ยังไงเสีย จิตจะแฉลบไปเหน สมถนิมิต

    สิ่งที่ควรรู้ ไม่ใช่ออกจากสัมมาสมาธิ แล้วกระโจนเข้าไปเล่น ญาณทัสนะ

    ให้วางจิตอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ให้เก็บกำลัง อย่ารีบใข้จ่าย
    เหมือน น้ำเก็บไว้ในเขื่อน พอเกิดความ สมควรแก่ธรรม
    จึงค่อย น้อมไปในญาณทัสนะ (ถ้า ไม่มีการประหานกิเลส
    ก็แปลว่า เปน พวกรู้ช้า ให้อดทนกลับไปที่เหตุ ไปทบ
    ทวนปฏิปทา ภาวนาซ้ำๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    จะเหนว่า แม้นจะเหนสภาวะ วิจิตร แต่การเข้า
    มาเหนได้ก้เพราะ เพียรในเหตุอย่างไร ไม่ประมาท
    รีบร้อนสำคัญตนว่าได้ขั้นอะไร เพราะขันติอย่างไร
    เพราะตบะ อย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2016
  11. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    แต่ถ้าใช้ อานาปานสติ ก้จะไม่มีอะไร หวือหวา

    จะเหนความยิ๊บๆ แย๊บๆ กลางอก แบบ หลวงพ่อเยื้อน

    ภาวนาไปแบบนี้ โดยรู้ว่าจิตสัดส่าย กายสัดส่าย ไปเรื่อยๆ
    จะเดินได้ตั้งแต่ โสดาปฏิมรรค ไปถึง อรหัตถมรรค
    มีนามกาย สัมผัสไม่ห่างจากฌาณ 1-8 และ 9

    อุคนิมิต ปฏิภาคนิมิต ของ อานาปานสติ คือ การเห็นการสิ้นไปของโลภะ โทษะ โมหะ (ปฏิสัมภิทามรรค)
     
  12. Tboon

    Tboon เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    2,094
    ค่าพลัง:
    +3,424
    ความจริงกว่าจะยอมลงใจในสิ่งที่โพสต์ไป ที่ดูเหมือนกับว่า เป็นทฤษฎีจ๋าเต็มตัว เหมือนลอกพระธรรมคำสอนท่องจำมาทั้งก้อน ใครๆก็พูดได้นี่ ก็ไม่ใช่ง่ายเหมือนกันนะครับคุณนพ อัตตา+ความเป็นทัพพีที่ไม่รู้รสแกงเอง ทำให้ยอมรับยากครับ เคยเป็นอย่างนั้น พอเห็นจริงตามนั้น มันใช่ทั้งหมด!!! ภาษาที่ท่านใช้ช่างเหมาะเจาะและหมดจด งดงาม รัดกุมดีจริงแท้ ดีอยู่แล้วครับ ใครพิสูจน์ได้คนนั้นไม่ติดคับข้องใจ เต็มใจให้กล่าวอย่างไม่ตะขิดตะขวงใจเลย

    ทีนี้มันมีทริคของมันอยู่ ดูยังไงจริงยังไงเก๊ อันนี้บอกเลยเป็นความสามารถเฉพาะบุคคลลอกเลียนแบบกันไม่ได้เลย ไม่ว่าใครจะพูดธรรมให้วิจิตรพิศดารเพียงใด ถ้าไม่ใช่ก็คือไม่ใช่ ก็จับได้อยู่นั่นเอง การจับไม่ใช่ไปนั่งจับผิดกัน มันสะดุดขาตัวเอง หลงหน้าหลงหลัง มีธรรมอันไม่ราบรื่น จะจับได้ตรงนี้ ว่ารู้จริงหรือรู้ปลอม และถ้าชัดเจนกว่านั้น จะรู้ด้วยว่าหลงอะไรติดอะไรอยู่ ทีนี้จะช่วยหรือไม่ช่วย ก็ดูอุปนิสัยดูศรัทธากันไปครับ

    แต่จะว่ากันไปแล้ว ที่ว่าไม่ใช่ๆ แต่สอนคนจนเป็นพระอรหันต์ก็มีมาแล้วตั้งแต่ในครั้งพุทธกาล อะไรๆก็ไม่แน่ครับ ไม่ยึดมั่นถือมั่นนั่นแหละดีที่สุด
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2016
  13. Xtrem

    Xtrem เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2016
    โพสต์:
    383
    ค่าพลัง:
    +275
    เรื่องตัดร่างกาย หรือยกจิตตนเองหรือถอดจิตไม่ให้รับรู้ความเจ็บปวด ผมว่าน่าจะทำได้ในผู้ที่มีอภิญญาสมาบัติสูงๆ นะครับ แต่ถ้าในระดับฌานต้นๆ ยังไงก็ยังมีความรู้สึกรับรู้ของร่างกายอยู่ อย่างพระโมคคัลลา ตอนท่านจะนิพพาน โดนทุบเสียจนกระดูกป่นแหลกเหลว ถ้าเป็นคนธรรมดาก็คงม้วยมรณัง ไม่สามารถกลับไปลาพระพุทธเจ้าได้
     
  14. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เคล็ดลับ อยู่ที่ใส่ใจสดับธรรมของผู้มีพระภาค จำให้แม่น

    เมื่อสัททามีในสมัย จะเพียรเพ่งพิสูจน์ธรรม เวทนามี 2 อย่าง

    คือ เวทนากาย กับ เวทนาจิต

    ถ้าเพียรเพ่งพิสูจน์ธรรม ด้วย ศรัธทาพละ เวทนาจะแยก
    ออก วิเคราะห์ วิจัยตามได้ เรียกว่า เกิดธรรมฐิติ

    เวทนากายจะเปนเสียงจี๊ดๆๆๆๆๆ จับแน่น ไม่ได้กำหนดรู้
    ตัวจะเกร็ง เพราะตัวเกร็ง ก็เลยเสียว พอเสียวก้สำคัญ
    ว่าตาย พอสำคัญว่าตาย แล้วไปเชื่อ ทิฏฐิธรรมนั้น ก็อุปทาน
    พอ อุปทานก็เกิดตัณหา พอตัณหาก็ชาติ ชรา มรณะ คือ
    สามารถผลิกเปนตาย ในวิถีจิตใหม่ได้ เพราะ...........

    เวทนากายหากไปเพ่ง มันจะขยายความรุนแรงได้ ภาษาโลก
    เรียกทนพิษบาดแผลไม่ไหว เพ่งมันจนขาดใจตาย ทั้งที่
    บางทีแผลไกลหัวใจตั้งเยอะ

    เวทนากาย ......ฯลฯ

    ที่นี้กลับมา

    เวทนาจิต จะเปนอีกส่วนหนึ่ง

    เท่าไหร่ถึงจะรำงับ ไม่กลัว ก็แค่เหนเวทนากาย กับ
    เวทนาจิต มันคนละตัวกัน ถ้าเวทนากายเกิด แล้วเวทนาจิต
    ไม่รวมตัวกัน เหมือนตอนปวดฟัน เปนหนอง ก่อนมาหาหมอ
    ยัง เอาจิตก้าวข้ามพ้นโอฆะ มาได้ ฉะนั้น

    ต้องใช้กำลังฌาณ อะไรไหม

    ย้อนไปทบทวนเอาเอง ใน สโมธาน ปัจจัยในการปล่อย
    วาง จิตลงไป ไม่เหลือ

    ธรรมะ นั้นไม่ยาก ที่ยากคือ ไม่ได้กำหนดรู้ ยกเหนสิกขา อบรมจิต

    ธรรมะของพระพุทธองค์ เปน ของคนรู้เร็ว ไม่ใช่รู้ช้า ฯ

    พุทธบริษัทของพระองค์ ธรรมฐิติเกิดก่อน ญาณเกิดทีหลัง



    ปล. การหาหมอฟัน ปัจจัยการใหญ่ หรือ ภพใหญ่ ขณะนั้น จะเป็น
    การคอยเงี่ยหู ฟังคำสั่งหมอฟัน อนุโลมไปตามอำนาจเมตตา การ
    ปรารภ ถอดจิต จะไม่ใช่ สมัยที่เป็นไปได้ ถ้าทำ คือ ไม่รู้หน้าที่
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2016
  15. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ตรงนามกาย กับฌาณ มันเหมือนกับที่ให้ไปทำฌาณ(เรื่องอาโลก)ไหมครับ
    แล้วต้องรู้ตรงไหนครับ
    ปล.เรื่องแสง แรกๆก็อยากได้ พอทำ รู้สึกมันไม่ชอบ เลยพักไว้ไม่ทำต่อ
     
  16. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ต้อง ฝืนลงไปเก็บบ้าง ....อันนี้เป็น คำเตือนของหลวงตามหาบัว
    ถ้าไม่ทำ มันจะดูไม่ออกว่า ไหลไปใน อานาปานสติ ลืมกำหนดรู้ทุกขสัจจ

    หลวงตาท่านแย๊บ สังเกตไหมว่า " มันไม่ชอบ " ...อานาปานสติ
    ก็ หลอกได้ นะฮับ แสบสุดๆ....ขึ้นชื่อว่า สังขาร ไว้้ใจไม่ได้สักตัว

    ถ้าทาง พระที่ผมไปถามกรรมฐาน ท่านแนะให้ มีสองกรรมฐาน
    [ จะมี ตัวเดียวก็ได้ แต่ต้องเก่งในเรื่อง การเห็นแสงขาวก็เป็นสิ่งเกิดดับ
    ไม่ใช่ดูเพลิน ....ไม่ใช่โน้มเข้าไปแล้วไม่รู้ว่า อนุโลมให้มันเคลื่อน
    ....ตรงนี้ท่านสอน กันในส่วนจิตไหลเข้าไปใน อรูป ]

    กลับมาตอบคำถาม

    ตรงนามกาย นี่ต้องกำหนดเห็นให้ชัดๆ แต่ จริงๆ ไม่ยาก อะไร
    ก็ตรง " ปิติ...ไปสุข " เนี่ยะ นามกาย ...... ถ้า ปิติ แล้วไป ปัสสัทธิ
    จะเป็น โพชฌงค์ในสมัย .......พูดอีกแง่คือ มีอามิส กับ นิรามิส
    [ ในทางปฏิบัติ มันจะ สลับกันไป ถ้าก้ำเกินกัน จะเหลือข้างใดข้างหนึ่ง
    ถ้าไม่ก้ำเกินกัน ก็จะ อัญญามัญญ เคียงคู่กันไป ]


    นามกายชัด( จำแนก แยกแยะได้ ) ถึงจะวิจัย แสง ที่หน่วงขึ้นมา
    ว่าหน่วงได้ หรือ หน่วงไม่ได้ แสงที่หน่วงได้ไม่ต้องสว่างก็ได้(กสิณสีดำ
    มักไม่ค่อยรู้จักกัน) เวลาหน่วงได้ ภาพที่เห็นจะสังเกตได้ว่า เหมือนตา
    เห็น ....สภาพแวดล้อม สมบัต ก็จะมี พรั่งพร้อม แม้นว่า จะมืด หรือสว่าง

    ถ้าเป็นแสงทีหน่วงไม่ได้ ....ตอนนั้น ไม่ใช่สมัย อันนี้ให้เห็นเกิดดับไป
    ไม่ต้องไปหน่วง ไปเล่นมัน ........ดูเหมือนหลวงพ่อฤาษีท่านก็สอน
    ศิษย์ไว้ ถ้าเป็น แสงนิมิตอานาปานสติ จะแว๊บยังไง ก็หน่วงมาเล่นไม่ได้
    เขาให้ดูเกิดดับ ...(พระสารีบุตร ให้ไม่สนใจเลย ให้พิจารณา กิเลส อุปกิเลส
    เป็น หลักเกณฑ์แทน ......หลวงตามหาบัวกล่าวว่า ถ้ามันกำจัดกิเลส ก็ใช้ได้ )

    งง ไหม

    แสง พอมาถึง จุดละเอียดๆ ก็จะมี สองอย่าง อันนี้ จะต้องวิจัยเอาเอง

    อันไหน เป็น สมถนิมิต อันไหน เป็น อำนาจวิปัสสนา(ตามเห็นเกิดดับ
    บังคับไม่ได้ จิตอบรบของเขาเอง อย่าไปแทรกแซง)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2016
  17. ขาจอน

    ขาจอน เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2015
    โพสต์:
    1,008
    ค่าพลัง:
    +470
    ข้างบนก็เข้าใจอยู่บ้างครับ เดี๋ยวลองไปทำดู
    ขอเล่าบางอย่าง มีความรู้สึกว่าคล้ายๆกันมั้งครับ
    คือ
    ไอตัวปิติ ถ้าผมจะทำ
    มันจะใช้วิธีรู้ลมลง เหมือนจะจงใจ ตั้งสติ(เหมือนเร้า)ลงไป แล้วมันจะชัด(คล้ายๆกับตอนรู้สึกตัว แต่เป็นรู้ลมแทน) มันก็จะเย็นวูบไปทั้งตัว(ที่สังเกต น่าจะเริ่มวูบมาจากกลางอก(แต่ไม่ใช่อกนะครับ)แล้วแผ่ไป) แต่ก็แว๊บเดียวนะครับ แล้วตอนทำเคยเล่นแบบ หน่วงรึเปล่าก็ไม่ทราบแต่ ทำให้มันเกิดถี่ๆ มันก็จะคล้ายๆ แว๊บๆๆๆๆเย็น วูบ แต่ทำสักพักมันก็กลับไปทำอานาแบบเดิมละ แต่ก็รู้สึกมีกำลังเหมือนกันแต่ไม่มาก
    เพราะตรงนี้มันต้องจงใจสร้างขึ้นมาครับ
     
  18. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    เนี่ยะ ตอนที่ ปรารภว่า " ต้องจงใจสร้างขึ้นมา "

    อันนี้ คือ มีความไม่ประมาท มีการยกสังเกตอยู่ ก็ตรงเนี่ยะ

    แม้นจงใจ ก็จัดว่า มีการสำรอก ไปพร้อมกัน

    พอจิตมันพิจารณา หมดกำลัง ( เจตนา ยังไง ก็ต้องหมด ) เหตุมันดับ
    จะ อัดยังไงก็ ไม่ไปแล้ว ...ตรงนี้ ให้เห็น อนัตตาเข้ามา ด้วย
    [ ถ้าอนุโลมตามจิตวิวัฏ .....ฉึบเดียว ....แต่ถ้า ยังไม่กระโดด
    ข้ามคลอง ยังมีเล็กมีน้อยซ่อนอยู่ .....หาเอาเองให้ดีๆ อุเบกขาตัวไหน
    ยังเป็น สสังขาร .......เวทยิตนิโรธน ก็ยังต้องดับ ต้องถอย เลย แบกไปด้วยไม่ได้หลอก ]


    คราวนี้ จะบริหารกรรมฐานเป็นแล้ว ไม่ใช่ เจริญกรรมฐานแบบ
    "เถรส่องบาตร" แล้ว เลิกภาวนาแบบลูบคลำ ทำตามๆกันไป
    ให้ยกสังเกตเข้ามา ด้วย ...

    แล้วจะ เลิกถามกรรมฐาน หรือ สดับแบบปริยัติแล้ว ปริยัติหมด
    สำหรับจิตดวงนี้ๆ ( อย่าไป ถามนะว่า ดวงไหน ของใคร
    อย่า สลัดกลับหลัง )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 มิถุนายน 2016
  19. นิวรณ์

    นิวรณ์ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2008
    โพสต์:
    9,051
    ค่าพลัง:
    +3,456
    ตรงเรื่อง หน่วง

    ถ้า คล่อง รู้สึกว่า คล่อง ขึ้นมา ....อันนี้ ต้องพิจารณาดีๆ นะ

    เราไม่ได้ ภาวนาเพื่อให้ มันคล่อง อย่าไปพอใจ ที่มันคล่อง

    เราจะ อาศัยระลึก ความเป็นโลกียธรรม ถ้าไม่หน่วง เดี๋ยวก็ลืม
    (เดินฉันทะเป็นประธาน ยังไงก็ต้องเดินให้ถึง วิมังสาเป็นประธาน )

    อย่าไปโดน รูปนาม หลอกเอาว่า เท่านี้แหละจริง อย่างอื่นเปล่า เข้าหละ
    [ หลวงปู่ดูลย์ ฝากไว้ พบจิ ให้ทำลายจิ พบพระพุ ให้ฆ่าทิ้งเสีย !! ]
     
  20. มังกรบูรพา

    มังกรบูรพา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    6 เมษายน 2008
    โพสต์:
    2,539
    ค่าพลัง:
    +9,407
    ผมว่าจัดเบาเกินไปนะครับ ตอนผมขับรถออกนอกบ้าน โดนจัดหนักกว่านี้หลายเท่า

    บางวันจัดเกือบสิบครั้ง แต่ก็ผ่านได้ตลอด บางวันจิตมันเผลอ ผ่านแบบทุลักทุเล

    อย่างครั้งหลังสุด มอไซด์วิ่งผ่านตัดหน้าขนาดห่างฟุตนึงมั๊ง แต่ก็ยังเฉยได้ครับ

    ทุกอย่างอยู่ที่สติครับ เร็วหรือช้าขนาดไหน ส่วนเรื่องกามก็เหมือนกันครับ เมื่อวาน

    เพื่อนส่งไลน์มา แต่ละตอน ผมเคยถูกใจและมีอารมณ์กับมันมากๆ ตอนเปิดดูครัั้งแรก

    เห็นอารมณ์ชัดเจนดีครับ แต่พอดูไปเรื่อยๆ ยิ่งดูยิ่งเฉย เฉยกับมันได้ จนเห็นอารมณ์ดับไป
     

แชร์หน้านี้

Loading...